ผมฝันไป

...........ตอนนั้นปี 2500 ผมยังเป็นเด็กอายุประมาณ 12 ปี พ่อแม่ได้นำผมมาฝากไว้กับหลวงตาอู๋ที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เพื่อให้ผมได้เรียนสูง ๆ เพราะฐานะทางบ้านของผมในขณะนั้นไม่เอื้ออำนวยให้ พ่อแม่จึงต้องพาผมมาฝาก กับหลวงตาซึ่งเป็นญาติกัน ผมอยู่กับหลวงตาได้ไม่นานก็ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านว่า นอกจากจะเป็นผู้มีความเมตตาปรานี กับสรรพสัตว์แล้ว ท่านยังเก่งกาจทางวิชาอาคมอีก เล่ากันว่า ท่านเรียนมาจากอาจารย์ชาวเขมรจนแตกฉาน เมื่อผมมาพักกับ หลวงตาใหม่ ๆ ผมสังเกตุเห็นว่าที่ฝาผนังด้านหนึ่งของกุฏิมีโกศเล็ก ๆ วางอยู่ ด้วยความสงสัยจึงถามหลวงตา ท่านเล่าว่าเป็น กระดูกของลูกศิษย์วัดของท่านที่ตายไป และด้วยความรักที่ท่านมีต่อลูกศิษย์เหมือนลูกท่าน จึงได้นำเอากระดูกมาเก็บไว้ในกุฏิ ผมฟังหลวงตาเล่ามาและก็ผ่านไปไม่ได้เก็บมาคิด วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่งผมจำได้ดี วันนั้นเป็นวันพระผมกลับจากโรงเรียน ทำการบ้าน และกินข้าวเสร็จแล้วผมก็ออกไปวิ่งเล่นกับบรรดาเพื่อน ๆ เด็กวัดของผม ตอนแรกเราเล่นซ่อนหากันอย่างสนุกสนานใกล้โบสถ์ของวัด แต่บังเอิญวันนั้นเป็นวันพระ พระต้องลงโบสถ์สวดมนต์เย็นท่านจึงได้ไล่พวกผมให้ไปเล่นที่บริเวณอื่น พวกผมมานั่งปรึกษากันว่าจะไปเล่นกันต่อที่ไหนดี ในที่สุดผมก็เสนอว่าให้ไปเล่นที่ใกล้ ๆ กับกุฏิของหลวงตาผม เพราะอยู่ห่างจากกุฏิอื่นเงียบสงบกว้างขวาง เมื่อตกลงกันได้เราจึงอพยพกันไปเล่นที่กุฏิหลวงตา ตอนนั้นเป็นเวลาเย็น แต่เพราะเป็นฤดูร้อนจึงยังไม่มืด เราจึงมีเวลาเล่นสนุกสนานกันได้นานเราเล่นซ่อนหากัน พลัดกันแอบพลัดกันหา จนกระทั่งผมมีโอกาสเป็นคนแอบบ้าง ผมนึกถึงสถานที่เหมาะ ๆ เพื่อจะแอบ นึกไปนึกมาผมนึกได้ ก็กุฏิหลวงตานั่นเอง ผมจึงค่อย ๆ ย่องเปิดประตูกุฏิเข้าไป แอบเอาผ้าห่มของหลวงตา(ที่ใช้รองนอน) คลุมโปงตัวเอง ผมนึกประสาเด็ก ๆ ว่าเพื่อนผมคงหาผมไม่พบ เพราะผมคลุมโปงตัวเองไว้ ผมนอนคลุมโปงนานเท่าไรไม่รู้ แต่ต้องมาตกใจเมื่อมีมือของใครคนหนึ่งมาแตะตัวผม ผมคิดในใจว่าเพื่อนผมคงพบผมแล้ว ผมจึงถลกผ้าห่มออก แต่แทนที่ผมจะได้เห็นหน้าเพื่อน ผมกลับพบกับใบหน้าของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ผมไม่รู้จักมาก่อน เขาเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับผม "มึงเป็นใครวะ" ผมตะคอกมันเพราะโมโหที่มันมาขัดจังหวะความสนุกของผม "ขอกูเล่นด้วยคนซิ" มันพูดโดยไม่สนใจจะตอบคำถามผม "กูถามว่ามึงเป็นใคร" ผมถามมันซ้ำ "กูเป็นเด็กวัดเหมือนมึงนั่นแหละ" มันตอบ "ให้กูเล่นแอบกับมึงนะ" "เอาก็ได้วะ รีบมาแอบกับกูก่อน เดี๋ยวกูจะบอกเพื่อน ๆ กูเอง" ผมตัดบทเพราะกลัวเพื่อนคนที่ปิดตาอยู่จะหาผมพบ เจ้าเด็กวัดเพื่อนใหม่แปลกหน้าคนนั้นก็จัดแจงมุดตัวเองลงมาอยู่ใต้ผ้าห่มกับผม เราแอบอยู่ในใต้ผ้าห่มนานเท่าไรไม่รู้ ผมมองหน้าเพื่อนใหม่ของผมคนนี้ให้นึกสงสัยว่าทำไมผมไม่เคยเห็นหน้ามัน ถ้าอยู่วัดเดียวกันผมต้องรู้จัก ด้วยความสงสัยผมจึงถามมัน "มึงอยู่กุฏิไหนวะ กูถึงไม่เคยเห็นหน้า หรือเพิ่งมาใหม่" "กูก็อยู่กุฏินี้แหละวะ" มันตอบหน้าตาเฉย "ไอ้ห่า ถ้ามึงอยู่นี้กูก็ต้องรู้จักมึง เพราะกูก็อยู่ที่นี่เหมือนมึง มึงบอกกูมาตรง ๆ มึงอยู่ที่ไหนกันแน่ ไม่งั้นกูเตะ" ผมสำทับขู่มัน "กูบอกแล้วว่ากูอยู่ที่นี่ กูชื่อสิน กูอยู่ในโกศข้างฝานั่นไง" พอผมฟังมันพูดจบ ความกลัวมันมาจากไหนไม่รู้ เข้ามาครอบงำหัวใจและ แผ่ขยายไปทั่วร่างกายของผม สุดที่ผมจะทน ผมกระโจนพรวดออกจากผ้าห่มวิ่งลงไปจากกุฏิอย่างรวดเร็ว วิ่งไปอย่างไร้จุดหมายโดยมีบรรดาเพื่อน ๆ ผมวิ่งตามกันมาอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ผมวิ่งมากระทั่งถึงโบสถ์ได้อย่างไรก็ไม่รู้ ขณะนั้นพอดีพระท่านที่ลงทำโบสถ์เสร็จหมดแล้วทยอยกันออกมา หลวงตาอู๋ก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย พอท่านเห็นผมวิ่งหน้าตื่น ท่านเลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็ละล่ำละลักปากสั่นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง พอหลวงตาฟังจบ ท่านก็หัวเราะเสียงดังลั่น พูดขึ้นว่า "มึงเข้าไปแอบในผ้าห่ม ตอนนั้นมันใกล้ค่ำแล้วอากาศมันน่านอน แถมมึงวิ่งเล่นหนัก ๆ อ่อนเพลียก็เลยหลับ พอดีกูเคยเล่าเรื่องกระดูกในโกศให้ฟัง มึงเลยเก็บมาฝัน พอมึงตกใจตื่นมึงเลยนึกว่าผีหลอกยังไงละ" ผมฟังหลวงตาเล่าบรรยายอย่างยืดยาวจนจบ แต่ก็จนปัญญาที่จะโต้เถียงหรือว่าผมจะหลับไปแล้วฝันอย่างที่หลวงตาบอก ผมค่อนข้างจะเชื่อตามคำหลวงตาอยู่มาก จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมเห็นหลวงตาถือ ถาดขนมนมเนยมาวางไว้หน้าโกศของลูกศิษย์คนโปรดท่าน แล้วพูดพึมพำอยู่คนเดียวว่า "ไอ้สินเอ๋ย มากินขนม กูเอามาฝากมึงเยอะแยะเลย" หลวงตาไม่เคยบอกผมเลยว่า ลูกศิษย์คนนี้ของท่านชื่อสิน / ¤ÅÔê¡áº¹à¹ÍÃìãËé¼ÁºéÒ§¹Ð¤ÃѺ¤Ø³ æ ·ÕèÃÑ¡

Hosted by www.Geocities.ws

1