คางคกในก้อนหิน

เราเชื่อกันอยู่ตลอดเวลาว่า สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนโลกต้องการออกซิเจนและอาหารในการดำรงชีวิตทั้งนั้น แต่ถ้าท่านผู้อ่านได้อ่านเรื่อง นี้แล้ว อาจสงสัยว่ามันเป็นไปได้อย่างไร เพราะสัตว์ที่ผมไปแคะปูมมาเสนอผู้อ่านคือคางคกครับ ที่แปลกก็คือมันดันไปอยู่ในก้อน ถ่านหิน (ได้อย่างไร) ที่มีอายุนับพันปีนะซิ

ฟังแค่นี้ ท่านผู้อ่านบางคนอาจจะเบ้หน้าแล้วมันแปลกอย่างไร กำลังจะบอกอยู่นี่แล้วละว่ามันแปลกตรงที่พอผ่าก้อนหิน อายุนานนับฟันปีนั้นออกมาเจอคางคก แล้วเจ้าคางคกที่ว่ามันยังมีชีวิตอยู่ นะซีครับ….!!!

แถมคางคกในหินแบบว่าเค้าเจอกันหลายตัวครับ เช่นครั้งหนึ่งที่มีการขุดประปาที่ฮาเธอร์พูล เดอร์แฮม ในอังกฤษเมื่อปี 1865 คนงานบังเอิญเหวียงอีเตอร์เข้าใส่ก้อนหินปูนแมกนีเซียมที่อยู่ลึกลงใต้ระดับดิน 25 ฟุตเปรี้ยงใหญ่ มันแตกออก แต่สิ่งที่ร่วงลงมาที่พื้น ไม่ยังใช่เศษหินเพียงอย่างเดียว กลับมีคางคกเป็น ๆ ตัวหนึ่งร่วงลงมาด้วย คนงานเล่าว่าโพรงก้อนหินที่เจ้าคางคกตัวนั้นจำศีลนิ่งอยู่ มีขนาดไม่ใหญ่เกินตัวเป็นรูปร่างเหมือนเป็นแม่พิมพ์หล่อตัวมันขึ้นมา ดวงตาของเจ้าคางคกนั้นเป็นประกายผิดปกติจากที่เคยพบ ดูเหมือนจะดีใจที่ได้รับ อิสรภาพ เมื่อแรกที่มันออกมาสัมผัสโลก คางคกทำท่าเหมือนพยายามจะหายใจ แต่ก็ติดขัดยากเย็น จนกิริยาที่มันแสดงออกเหมือนอาการเห่า เสียงออกมามากกว่า และมันยังคงทำเช่นนี้อีกเมื่อคนพยายามจับตัวมัน คางคกตกเป็นสมบัติของมิสเตอร์ เอส. ออนเนอร์ ประธานสมาคมประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติ ก้อนหินที่มันเคยฝังตัวอยู่ถูก กระเทาะออกไปด้วย เพื่อให้มันไดอ้ยู่ในบ้านเดิมที่คุ้นเคย เมื่อถูกจับมาทดสอบก็พบว่าปากของมันไม่มีรูเปิด เสียงที่ดังคล้าย เสียงเห่านั้นดังขึ้นมาจากโพรงจมูกแทน อุ้งเท้าด้านหลังก็ยาวมากเป็นพิเศษมากกว่าคางคก พันธุ์ปกติของอังกฤษ เมื่อแรกที่ถูกปลดปล่อยออกมาสู่โลกภายนอก สีของมันซีดสนิทไม่ต่างกับก้อนหินที่มันฝังตัวอยู่ แต่ไม่นานหลังจากนั้น คางคกก็เปลี่ยนสีเป็นน้ำตาลเขียว….นักธรณีวิทยาท้องถิ่นที่ลองพิสูจน์อายุของชั้นดินตรงนั้น ต่างสันนิฐานว่าเจ้าคางคก ตัวนี้น่าจะมีอายุประมาณ 6,000 ปีเชียวละครับ

คางคกที่ถูกฝังอยู่ในหินยังมีที่อังกฤษอีกครับ ตัวนี้พบเมื่อคนงานขุดหินหาแร่ตรงบริเวณพาสวิค เดอร์บี้ อังกฤษ ในปี 1952 คนงานจำนวนนี้บังเอิญไปเจอแร่ก้อนใหญ่ขนาดสองคนโอบไม่รอบเข้า จึงตัดสินใจจะย่อยมันเป็นก้อนเล็ก ๆ เสียก่อน และแล้วโพรงหินที่มีคางคกฝังตัวจำศีลอยู่ข้างในก็ร่วงลงมาพร้อม ๆ กับเศษหินอื่นๆ มันเป็นส่วนที่ใสเหมือนแก้วของหินปูน น่าเสียดายที่คางคกตัวนี้ตายหลังจากที่กระทบอากาศไม่นาน

อีกสักตัวอย่างนะครับ ท่านผู้อ่าน คราวนี้เป็นที่ของ ดับเบิลยู จอห์น คลาร์ค จากเมืองรักบี้ อังกฤษ บ้าง รายนี้ไม่ได้ไป ขุดแร่ขุดหินเหมือนคนอื่น แต่นั่งผิงไฟอย่างสบายอารมณ์อยู่ในบ้านหน้าเตาผิงที่ใช้ถ่านหิน เป็นเชื้อเพลิงเวลาผ่านไปราวชั่วโมงครึ่ง คุณจอห์น คลาร์คก็เอาเหล็กเขี่ยไฟกระทุ้งลงไปที่ก้อนหินในเตา ทันใด เหล็กด้ามนั้นเกิดไปกระทุ้งเอาก้อนถ่านหินในเตา ทันใดเหล็กด้ามนั้นก็เกิดไปกระทุ้งเอาก้อนถ่านหินก้อนหนึ่งแตกออก แล้วจู่ ๆ ก็มีสัตว์อะไรสักอย่างกระโดดหย็องแหย็งออกมา จากก้อนถ่านหิน แล้วพุ่งตัวหวือออกจากเตาผิง จอห์น จับตัวมันไว้ได้ และพบว่ามันคือคางคกประหลาดตัวหนึ่ง ที่ไม่มีปาก และผิวหนังบางใสจนแถบเห็นเครื่องในชัดเจนในตอนแรกมันมีชีวิตอยู่ได้ห้าอาทิตย์ ก่อนจะม่องเท่งลง

นอกเหนือจากคางคก สัตว์ที่ติดอยู่ในหิน ยังมี กระท่างน้ำ (Newt รูปร่างหน่าตาคล้ายจิ้งจก แต่ตัวใหญ่กว่า ชอบอาศัยอยู่ในน้ำ) อีกอย่างหนึ่งด้วยครับ ดร.เอ็ดเวิร์ด ดี. คลาร์ค นักธรณีวิทยาค้นพบสัตว์ตัวนี้ในเหมืองชอล์ค เมื่อปี 1818 ตอนนั้น ดอกเตอร์กำลังขุดหาซากฟอสซิลในเหมืองแห่งนั้นที่ความลึก 270 ฟุต ได้พบซากฟอลซิลสัตว์ทะเลที่ไม่มีหางหลายซาก รวมทั้งซากตัวกระท่างน้ำหลายตัว ทว่ากระท่างน้ำ 3 ตัวในจำนวนนั้นอยู่ในสภาพดีจนกระทั่ง กร.คลาร์คแทบอุทานด้วยความดีใจ เขาค่อย ๆ แงะตัวมันออกมาจากเนื้อหิน วางลงบนกระดาษท่ามกลางแสงแดดอ่อน เพียงครู่เดียวท่านดอกเตอร์แทบ ร้องด้วยความตกใจพอ ๆ กัน เพราะสัตว์เลี้อยคลานสามตัวที่ว่าเริ่มขยับเขยื้อน แต่เพียงชั่วครู่เดียวกระท่างน้ำสองตัวก็ตาย มีเพียงตัวที่สามที่คงเคลื่อนไหวต่อไป ดร.ทดลองเอามันไปวางในสระน้ำ มันตอบสนองด้วยอาการว่ายน้ำหนีหายไปเลย

สำหรับ ดร.คลาร์คแล้ว ลักษณะของกระท่างโบราณที่ได้พบ ไม่เหมือนกับชนิดใด ๆ ในปัจจุบันเลย กลับไปเหมือนพวก ที่สูญพันธุ์ไปแล้วหลายพวกที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงการวิทยาศาสตร์ เรื่องที่ผมเล่ามานี้ชี้ให้เห็นสถานการณ์ประหลาดอย่างหนึ่งจริง ๆ ครับ นั่นคือสัตว์เล็ก ๆ พวกนี้เข้าไปอยู่ในก้อนหินได้อย่างไร มีชีวิตอยู่ได้อย่างไรเป็นพันปี กินอะไรเป็นอาหารถึงอยู่นานแทบจะพอ ๆ กับก้อนหินที่ห่อหุ้มมันอยู่ ยังกับว่ามัจจุราชจะแกล้งลืมชีวิตพวกมันเสียยังงั้น

ผู้คนพยายามหาทางอธิบายกันไปในทางต่าง ๆ กันอย่างกว้างขวางรวม ๆ แล้วมีเหตุผลกันสามประการอย่างแรกคือคำอธิบาย (ที่แย่ที่สุดแบบที่กัปตันบังคแลนด์พูดเสียงดังเมื่อเขาได้เห็นคางคกตัวที่น่าจะออกมาจากหินจากเหมืองเวลซ์ ถูกนำมาออก แสดงในงานนิทรรศการเมื่อปี 1962) ว่าเป็นเรื่องหลอกลวงแห่งยุค คำอธิบายที่สองที่ดูใจเย็นกว่าอย่างแรกหน่อย กล่าวว่า ถึงก้อนหินจะเป็นวัตถุที่เราคุ้นเคยกันว่าเป็นของแข็ง อันที่จริงมันก็ประกอบด้วยปรมณูที่น้ำ อากาศและสารอาหารบาง อย่างสามารถแทรกซึมเข้าไปได้ในกรณีของหินปูน ช่องของปรมณูนั้นอาจจะถูกปิดตายในภายหลังด้วยปฏิกริยา แบบเดียวกับหินงอกหินย้อยซึ่งสำหรับ ตาคนธรรมดาแล้ว ปฏิกริยาดังกล่าวย่อมไม่เห็นเด่นชัดในหินก้อนใดก้อนหนึ่ง

เมื่อประมาณปลายศตวรรษที่ 19 ภิกษุลามะที่น่าเคารพท่านหนึ่งนามว่า สิตู เปมา วังยาล รินโปเช กำลังเดินทางไปสู่กรุงลาซา กับหมู่ภิกษุธิเบตด้วยกัน จู่ ๆ วันหนึ่งท่านก็เกิดอารมณ์โกรธขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนกระทั่งในเย็นวันนั้น ท่านยืนยันว่าจะพักแรมอยู่ตรงบนที่ราบแห้งแล้ง ไม่มีทั้งไม้ฟืนและแหล่งน้ำให้อาศัยประทังชีวิต เช้าวันต่อมา สิตู รินโปเช ยังอยู่ในอาการหัวฟัดหัวเหวียงแบบเดิม คราวนี้เขาบังคับให้หมู่คณะเดินทางออกนอกทิศที่มุ่งสู่ลาซา ไปทางเหนือ ที่หมู่ภิกษุ ไม่รู้จุดหมาย แต่เพราะความที่พวกท่านให้ความนิยมนับถือในตัวสิตู รินโปเช พวกท่านจึงตามไปโดยไม่ถามอะไร

หลายชั่วโมงผ่านไป ทั้งหมดก็เดินทางมาถึงบริเวณเปล่าเปลี่ยวที่มีหินโผล่ออกมาจากผิวดินระเกะระกะ ท่านสิคู รินโปเช ชี้ไปที่หินก้อนหนึ่งให้หมู่ภิกษุช่วยกันขุดขึ้นมา แต่เพราะต่างก็มีแค่ไม้เท้าเท่านั้น มันจึงเป็นเรื่องยากเย็นกว่าจะค่อย ๆ ชักลากก้อนหินขึ้นมาจากที่ราว 50-60 ฟุต ปล่อยให้สิคู รินโปเช ยืนดูก้อนหินอยู่อย่างเงียบ ๆ แต่แล้วท่านก็เข้าไปช่วยหมู่ภิกษุ ท่านก้าวไปตรงหน้าก้อนหิน ชก (ด้วยกำลังภายใจ) โครมเดียว ก้อนหินก็แตกกระจาย เผยให้เห็นสัตว์ที่น่าขยะแขยง ตัวหนึ่งถูกฝังอยู่ข้างในรูปร่างหน้าตามันเหมือนกับตัวซาลามันเดอร์ ผิวดำเมื่อมเป็นเกล็ดของมันติดอยู่กับหิน มันหอบสั่นเมื่อ พยายามหายใจ สิตู รินโปเช ยกตัวมันออกจากหินอย่างนุ่มนวลมาวางไว้ที่พื้นที่ตรงหน้า แล้วเริ่มทำโยคะชนิดหนึ่งเพื่อสัตว์ตัวนี้

สำหรับคนธิเบตแล้ว โยคะชนิดนี้เรียกว่า ปู-วา เป็นที่เข้าใจกันจนเป็นธรรมดาว่า การกระทำนี้นำไปสู่การโยกย้ายสติสำนึก ที่พระลามะทำเพื่อให้คนที่กำลังจะตายไปสู่สุขคติ ครู่เดียวแสงสีรุ้งแนวแคบ ๆ ก็เรื่องสว่างขึ้นที่ส่วนหัวของซาลามันเดอร์ ตัวนั้นก่อนที่มันจะตาย พิธีศพอย่างง่าย ๆ ถูกจัดขึ้นก่อนจะเผาร่างของมันให้สลายเป็นผง หลังจากนั้น สิตู รินโปเช จึงอธิบายแก่หมู่ภิกษุว่า ท่านเดินทางมาก็เพื่อปลดปล่อยสัตว์ตัวนี้ซึ่งในอดีตชาติที่ผ่าน ๆ มา มีกรรมเกี่ยวข้องกับท่าน จากนรกนอกภูมิ ในศาสนาพุทธ มีคำอธิบายถึงภูมิต่าง ๆ และนรกนอกภูมิแบบนี้ก็ตั้งอยู่แนวเขตนรกภูมิและ บางครั้งสามารถพบได้บนโลกมนุษย์ บ่อยครั้งที่มันทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรงเช่นเดียวกับที่สัตว์เลื้อยคลานตัว นี้ถูกขังอยู่ในหินนั่นล่ะครับ

อ่านแล้วคิดถึงเรื่องเห้งเจียติดอยู่ในหินขึ้นมาตะหงิด ๆ ถ้ามันเป็นคำอธิบายที่เข้าท่าจริง ๆ ตกนรกแบบนี้น่กลัวว่าที่คิดไว้จริง ๆ เยอะครับ…./คลิ๊กแบนเนอร์ให้บ้างนะครับผม

Hosted by www.Geocities.ws

1