ปรากฏการณ์ “จานผี” ที่เคยมีในเมืองไทย

เมื่อเดือน ก.ค. 2540 มีรายงานข่าวหนังสือพิมพ์แจ้งว่า องค์การนาซาได้จัดส่งยานอวกาศจากโลกไป ลงยังพื้นผิวดาวอังคารได้สำเร็จ (อีกครั้งหนึ่ง) หลังจากที่ไม่ได้ส่งยานอวกาศไปลงบนดาวอังคารมานานนับสิบปี

ข่าวดังกล่าวลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวันไทยแทบทุกฉบับ หลังจากนั้นไม่นานสถานีโทรทัศน์แทบทุก สถานีจัดรายการเกี่ยวกับ ดาวอังคารและมนุษย์ต่างดาว โดยขยายรายละเอียดเพิ่มขึ้น รายการพิเศษทางสถานีโทรทัศน์ ไอทีวีได้เชิญผู้สันทัดกรณี ในเรื่องราวที่เกี่ยว กับดาวอังคารและจานผี หรือจานบิน ที่เชื่อว่ามาจากดาวอังคาร มาวิจารณ์กันในรายการ “ไอทีวี ทอล์ค”

รายการนี้ได้เชิญอาจารย์ระดับดอกเตอร์ทางวิทยาศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.พิชัย โตวิวิชช์ ผู้เชี่ยวชาญทางพุทธศาสนา สายวิปัสนากรรมฐาน วิญญาณศาสตร์และทฤษฎีทางวิญญาณจากนอกโลกยืนยันในรายการว่า ตนเองได้รับการส่งโทรจิต เป็นภาษามนุษย์ดาวอังคาร แปลความหมายให้โลกราหูหยุด การรบกวนดาวอังคาร(หรือดาวสีแดง) ในทันทีไม่เช่นนั้นทาง ดาวสีแดงจะส่งกำลังรบเข้ามาสู่โลกราหู(คือโลกเรา) เพื่อเป็นการแสดงอำนาจให้เห็นเสียที

มีสนใจทางบ้านโทรศัพท์เจ้าไปซักถามหาเหตุผลและข้อมูลเป็นจำนวนมาก มีทั้งเชื่อ และไม่เชื่อ รวมทั้งผู้ที่ต้องการพิสูจน์ความจริง ให้เห็นกันจะจะไปเสียที เรื่องราวการปรากฏ ตัวของ “จานบิน” หรือ “จานผี” ในที่ต่าง ๆ ในต่างแดนมีรายงานเอาไว้มากมาย รวมถึงการมีจานบิน ตกและทางทหารของสหรัฐฯ ได้นำเอามนุษย์ต่างดาว (น่าจะมาจากดาวอังคาร) เข้าไปเก็บไว้ในที่ลับ จนกลายเป็นข้อมูลอันหนึ่งในการ สร้างภาพยนต์เรื่อง Independence Day ที่ได้นำเข้ามาฉายในประเทศไทยโกยเงินไปมากมายเมื่อกลางปี 2540 ที่ผ่านมา

เรื่องราวเกี่ยวกับ จานบิน ที่มีปรากฏในเมืองไทย ก็มีบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานหลายเรื่อง ซึ่งจะขอนำมาเผยแพร่ให้ทราบกันต่อไปนี้

“ศักราช 881 ฉลูศก (พ.ศ. 2072) เห็นอากาศนิมิตรเป็นอินท์ธนูแต่ทิศหรดีผ่านอากาศมาทิศพายัพมีพรรณขาว วัน 1 เดือน 12 ค่ำ สมเด็จพระรามาธิบดี เสด็จพระที่นั่งหอพระ ครั้นค่ำลง วันนั้นสมเด็จพระรามาธิบดี เจ้านฤพาน” (เข้าใจว่าอากาศนิมิตรเป็นอินท์ธนูคล้ายแสงของยานอวกาศจากนอกโลก)

มีข่าวการเห็นจานบินที่กรุงเทพ” สุโขทัย และเชียงใหม่ บันทึกเอาไว้ว่า “ขณะที่นายทาคาโอะ ชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็น บัญทิตทางเทคโนโลยี่ กำลังนั่งเรือชมแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2516 เวลา 10.30 น. เขาได้เห็นจานบินลำหนึ่ง จึงได้ถ่ายภาพไว้ ยานลึกลับดังกล่าว มีลักษณะคล้ายดาวเสาร์ เพราะมีวงแหวนล้อม รอบยาน หนังสือพิมพ์ซันกิ ในญีปุ่น ฉบับประจำวันที่ 11 เมษายน 2516 ได้ลงติพิมพ์ภาพนี้พร้อมข่าวโดยละเอียดด้วย”

นอกจากการเห็นที่กรุงเทพแล้ว ยังมีคนเคยเห็นที่บริเวณเมืองเก่าสุโขทัย มีลักษณะเป็นจานบินฉายไฟสว่างจ้า และบินไม่มีเสียง (ข่าวว่าพบ เวลากลางคืน ประมาณ 3 ทุ่มเศษ) นอกจากนี้ ยังมีรายงานการเห็นแถวภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย มีรายงานของผู้ใช้นามว่า “ย.ยักษ์” ในวรสารการบินทหารบก ฉบับเดือนเมษา – มิ.ย. 2540 เล่าว่า “คุณทวี สวรรค์เชิดวิลัย อายุ 43 ปี (นับถึงปี 2539) อยู่บ้านเลขที่ 347/88 ซ.ฤาชา 1 ถ. พหลโยธิน กรุงเทพฯ 10400 คุณทวี ได้เห็นจานบินที่ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย เมื่อปี พ.ศ. 2508 ในราวเดือน ก.พ. – เม.ย. เวลาประมาณ 10.00 น. ขณะกำลังเล่นอยู่กับเพื่อน ๆ ข้างบ้านในตลาด อ.สวรรคโลก ทันใดนั้นคุณทวีได้เห็นชาวบ้านพากันวิ่งแตกตื่นและแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ามาตามถนนที่ตัดผ่านหน้าตลาด สิ่งที่เห็นก็ตือ จานบินลำหนึ่ง เป็นเงาดำทะมึน เมื่อมองตัดกับท้องฟ้าเป็นรูปวงรี ทางด้านใต้ท้องมีแสงสีเหลืองอ่อน วัตถุดังกล่าว มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30 เมตร และเคลื่อนที่มาด้วยความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง จากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไปทางทิศตะวันอกเฉียงใต้ อยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 80-100 เมตร ในขณะที่บินไปนั้นไม่มีเสียงใด ๆ และมีแสงอยู่ทางตอนท้ายของยานบินเหมือนเปลวเทียนลู่ลม (เป็นแสงสีเหลืองอมสีส้ม) ทุกคนมองดูยานประหลาดลำนั้น เป็นเวลาประมาณครึ่งนาที จนในที่สุดก็บินหายไปทางดงมะพร้าวที่ขึ้นอยู่หลังตลาด

คุณทวีแน่ใจว่าหากจะไปสอบถามชาวบ้านในตลาดอำเภอสวรรคโลก เกี่ยวกับจานบินครั้งนั้น จะต้องมีคนที่รู้เรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะมีคนเห็นกันประมาณ 100 คน”

บันทึกอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเหตุการณ์พบจานบินที่ อ.ลาดหญ้า จ.กาญจนบุรี “ผู้จัดการ หจก. แสงประทีป พัฒนาการ ขอใช้ชื่อสมมติว่า ละออง อายุ 41 ปี ทำงานอยู่ที่ศูนย์การค้ากาญจนบุรี อยู่ที่บ้านเลขที่ 160/108-109 อ.เมือง จ.กาญจนบุรี โทร (036) 511583 คุณละอองเล่าว่า

เมื่อประมาณปี 2516 คุณละอองกับเพื่อนชื่อ ส.ต.ต. สุชาติ บัวโต (ยศในขณะนั้น) รับราชการอยู่ทีหน่อยปราบปรามพิเศษ สถานีตำรวจภูธร ต.ไร่เก่า อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ขณะกำลังกลับจากทำธุระที่บ่อพลอยมุ่งไปทางตลาดลาดหญ้า ใกล้กองพลที่ 9 เวลาประมาณตีสาม คุณละอองหลับอยู่ในรถ โดยมี ส.ต.ต สุชาติเป็นผู้ขับรถเก๋งซูบารุ

ทันใดนั้น ส.ต.ต. สุชาติก็เขย่าตัวปลุกคุณละอองให้ลุกขึ้นมาดูวัตถุลึกลับลำหนึ่ง มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 เมตร ลักษณะเป็นทรงกลม มีแสงเรืองคล้ายแสงนีออนที่สว่างราว 10 แรงเทียนลอยสูงจากพื้นดินประมาณยอดเสาไฟฟ้า (ประมาณ 12 เมตร) ยานดังกล่าวลอยนำหน้ารถไป เล็กน้อย และบินแบบไม่มีเสียง เมื่อคุณละอองบอกให้ ส.ต.จ สุชาติชะลอความเร็วรถลงนั้น ยานดังกล่าวก็แล่นช้าลงด้วย เมื่อรถหยุดสนิท ยานลึกลับลำดังกล่าวก็หยุดนิ่งลอยอยู่กับที่ในอากาศด้วย คุณละอองเล่าว่า ไม่ทราบว่ายานดังกล่าวแล่นคู่มากับรถยนต์นานสักเท่าไร แต่เมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นยานลำนี้แล่นคู่ไปกับรถราวสักครึ่งกิโลเมตร รถหยุดสนิท คุณละอองก็เปิดประตูรถลงไปตะโกนให้ยานดังกล่าวลงจอด แต่ไม่มีเสียงตอบใด ๆ จากยานดังกล่าวเลย คุณละอองมีเวลามองเห็นส่วนล่างของยานอีกหนึ่งนาที ยานเริ่มเปลี่ยนทิศทาง ลอยห่างออกช้า ๆ ผ่านไปทางไร่อ้อยที่อยู่ข้างทาง

คุณละอองวิ่งตามไปดูยานดังกล่าวอีกประมาณ 10 เมตร แต่กลัวว่าจะหลงทางจึงวิ่งกลับมาที่รถที่จอดอยู่บนถนนที่สูง กว่าจึงเห็นยอดต้นอ้อยพริ้วไหวเมื่อยานบินผ่าน คุณละอองคิดว่ายานคงจะลอยไปโผล่ที่ปากทางอีกด้านหนึ่งจึงขับรถไปรอที่นั้น แต่ไม่เห็นยานดังกล่าวอีกเลย

มีบันทึกเกี่ยวกับการพบจานบินที่ ต.บ้านเหนือ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี อีกเรื่องหนึ่งว่า นางสาวพจนีย์ ภูรินทร์ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 253 ถ.แสงชูโต ต.บ้านเหนือ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เล่าเหตุการณ์ครั้งนั้นให้ฟังว่า

เมื่อปี พ.ศ. 2520 ประมาณเดือนมี.ย.-ก.ค. เวลาประมาณ 2-3 ทุ่ม ดวงจันทร์เต็มดวง คุณพจนีย์กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างหน้าต่าง เมื่อเธอหันหน้ามอง ออกไปทางหน้าต่าง ก็เห็นยานประหลาดลำหนึ่ง มีสีแดงนวลเป็นทรงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เมตร และมองดูเหมือน น่ามีอะไรห้อยลงมาจากยาน

มันจอดลอยนิ่งอยู่เหนือยอดมะพร้าวเตี้ยซึ่งสูงประมาณ 4-5 ฟุต อยู่ห่างจากบ้านประมาณ 6 เมตร แล้วค่อย ๆ ลอยห่างออกไป เธอเห็นอยู่ประมาณ 5 นาที ยานดังกล่าวมีขนาดเล็กมาก ซึ่งคุณพจนีย์ไม่คิดว่าจะมีคนอยู่ภายในยาน และมีลักษณะลังเลว่าจะลงจอดดีหรือเปล่า

คุณพจนีย์กล่าวถึงไฟดังกล่าวว่าแปลกกว่าแสงไฟใด ๆ ที่เธอเคยเห็น คล้ายกับแสงที่เป็นรังสี และนอกจากคุณพจนีย์จะเห็นแล้ว เธอยังได้เรียก คุณพ่อคุณแม่ของเธอมาดูด้วย ยานลำนั้นไม่มีเสียง

บันทึกการพบจานบินที่ อ.ไพศาล จ.นครสวรรค์ มีรายละเอียดดังนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2512 ขณะที่ทำงานให้กับบริษัทโอสถสภาเต็กเฮงหยู จำกัด ในหน่วยฉายภาพยนต์โฆษณาได้นำภาพยนต์ไปฉายภายในเขต อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์ ในคืนเกิดเหตุประมาณ 3-4 ทุ่ม ขณะที่ฉายภาพยนต์และ พนักงาน ฉายได้ดับสปอตไลท์บนหลังคา ทันใดนั้นมีเสียงประหลาดดังวี้ดมาจากท้องฟ้า คุณวิรัตน์กับเพื่อนแหงนหน้าขึ้นดูตามเสียงนั้น ก็เห็นยานประหลาด ลักษณะกลม มีโดมอยุ่ตรงกลางเหมือนหมวกลอยอยู่เหนือยอดไม้บริเวณวัดที่ไปฉายหนัง ยานดังกล่าวมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 20-25 เมตร มีไฟสีเขียวออกมาจากโดมดังกล่าว และคุณวิรัตน์บอกว่า เขาเห็นมนุษย์คนหนึ่งในยานนั้นด้วย

เมื่อยานดังกล่าวบินมาถึงบริเวณที่ฉายภาพยนต์ คุณวิรัตน์พร้อมเพื่อนและคนที่มาดูหนังอีกกว่า 300 คน ก็เห็นยานเล็ก ๆ อีก 3 ลำ พุ่งออกมาจากส่วนท้ายของยานใหญ่ ยานใหม่ไม่มีแสงใด ๆ และเนื่องจากเป็นคืนเดือนหงาย คุณวิรัตน์จึงมองเห็นว่ามนุษย์ยืน อยู่ภายในยานดังกล่าวลำละ 1 คนด้วย ยานลำเล็กนั้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 เมตร ยานดังกล่าวบินตามกันมาเรื่อย ๆ เห็นอยู่ประมาณ 5 นาที ทั้งยานแม่และยานลูกก็บินตามกันลับสายตาไป

นอกจากคุณวิรัตน์แล้ว ยังมีคุณสมใจ ศรีวรนันท์ ทำงานอยู่ที่บริษัท เอส โค ฟาร์มา ที่ท่าพระ และเพื่อนชื่อ คุณประทีป (ไม่ทราบนามสกุล) ก็ร่วมเห็นเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย คุณวิรัตน์กล่าวเสริมว่า หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ลงข่าวกรเห็นจานบินครั้งนั้นติดต่อกันหลายวัน สามารถค้นดู หลักฐานหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวได้ที่หอสมุดแห่งชาติ

บันทึกการพบเห็นจานบินที่ อ.เมือง จ.เพชรบุรี ก็เป็นอีกบันทึกหนึ่งที่มีรายละเอียดว่า คุณสุทโท รตางสุ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 77 ถ.ดำเนินเกษม อ.เมือง จ.เพชรบุรี ได้ถ่ายรูปจานบินไว้ได้อย่างบังเอิญที่สุด เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2522 และภาพดังกล่าวได้ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้มีการ ถ่ายภาพซ้อนแต่อย่างใด

คุณสุทโทกล่าวว่า เช้าวันนั้นเวลาประมาณ 9 โมงเช้า กำลังเดินถือกล้องถ่ายรูปขนาดเล็ก เพื่อจะไปถ่ายภาพพี่ชายที่ท่าน้ำซึ่งอยู่ใกล้ ๆ บ้าน ด้วยความบังเอิญ ตนได้แลเห็นแสงสะท้อนของวัตถุสีขาวลำกลมลำหนึ่ง บินมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเป็นจานบินก็รีบกดชัตเตอร์ถ่ายไว้ได้ทันที ขณะที่ถ่ายนั้น ยานดังกล่าวกำลังกลับลำแล้วเร่งความเร็วหายไปในทันทีภายในเวลาเพียง 4-5 วินาทีเท่านั้น

ยานดังกล่าวบินสูงมาก และบินมาจากทิศตะวันออก คุณสุทโทเชื่อ่าลำจริงจะต้องใหญ่ก่าเครื่องบิน ซึ่งนับว่าคุณสุทโทถ่ายภาพไว้ได้อย่างลบังเอิญจริง ๆ และคุณสุทโทได้ส่งภาพถ่ายดังกล่าวให้หนังสือพิมพ์ไทยรัฐตีพิมพ์ขณะนั้นด้วย อนึ่ง ในช่วงที่คุณสุทโทเห็นจานบินลำนั้น ชาวบ้านแถบชายทะเล จ.เพชรบูรณ์ ก็มีโอกาสเห็นยานประหลาด เป็นลูกไฟดวงโตลอยไปในท้องฟ้าอีกด้วย

บันทึกที่ “ย.ยักษ์” นำมาเสนอนั้นจบเพียงแค่นี้ แต่จะขอนำบันทึก เรื่องจานบินที่เคยปรากฏในเมืองไทยนานเกือบ 100 ปี เป็นบันทึกจากการค้นคว้าของ อเนก นาวิกมูล นำลงในหนังสือพิมพ์สยารัฐว่า

เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2451 หรือเมื่อ 92 ปีมาแล้ว หนังสือพิมพ์ข่าวตลาดลงข่าวประหลาดไว้ชิ้นหนึ่ง ว่า มีเด็กหญิงคนหนึ่งอายุราว 13 ปี บ้านอยู่ริมวัดราชสิทธาราม ธนบุรี ออกไปถ่ายอุจาระกลางสวนที่บ้านของตน ขณะนั้นเวลาบ่าย 7 โมงเศษ จากนั้นเด็กคนนั้นก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ผู้ปกครองเด็กออกค้นหาเท่าไร ก็ไม่พบ จนเวลาประมาณ 2 ทุ่มเศษ เกิดพายุใหญ่ฝนตกหนัก ทันใดนั้นมีเสียงดังตุ้บที่กลางสวน แล้วเด็กหญิงคนนั้นก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน เล่าให้ผู้ใหญ่ฟังว่า มีคนอุ้มคนขึ้นไปบนยอดไม้แลเห็นเป็นบ้านเรือนใหญ่โตสะอาดสะอ้าน น่าอยู่ยิ่งนัก ผู้ที่อุ้มไปนั้นได้พาไปดูเงินทองต่าง ๆ เป็นที่ปลื้มใจมาก แต่ยังหาทันได้พูดอะไรไม่ ประมาณครู่หนึ่งเขาก็อุ้มตนลงมาสู่ที่เดิม (หนังสือพิมพ์ ข่าวตลาด ปีที่ 1 ฉบับวันที่ 1 ต.ค. ร.ศ. 127 หรือปี 2451 หน้า 9 ไมโครฟิลม์จากหอสมุดแห่งชาติ)

โบราณว่าพฤติกรรมเช่นนี้เป็นพฤติกรรม “ผีจับซ่อน” แต่ในเหตุการณ์ปัจจุบัน จึงมีคำถามที่แตกต่างกันไปว่า กรณีนี้เป็นไปได้หรือไม่ ที่เด็กหญิงในข่าวจะถูกมนุษย์ต่างดาวเอาตัวขึ้นไปชมความพิศดารบนยานอวกาศเป็นขวัญตา?/ คลิ๊กแบนเนอร์ให้บ้างนะครับ….