เอกสารประกอบการบรรยายเรื่อง
ไม่เผาตอซังและฟางข้าว แล้วจะปลูกข้าวได้อย่างไร
โดย พิสิฐ พรหมนารท นักวิชาการเกษตร 8ว ศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรี กรมการข้าว
ณ โรงแรมมารวยการ์เด้น วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2549 จัดโดยกรมส่งเสริมการเกษตร
|
ไม่เผาตอซังและฟางข้าว แล้วจะปลูกข้าวได้อย่างไร
พิสิฐ พรหมนารท
ศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรี 089-0984709
ตอซังและฟางข้าวมีประโยชน์อย่างไร
ดินที่ดีมีตามหลักปฐพีวิทยาต้องมีลักษณะดังนี้คือเมื่อแบ่งส่วนประกอบของดินทั้งหมดเป็น100 เปอร์เซ็นต์ ดินนั้นควรมีเนื้อดินที่เป็นอนินทรียวัตถุ mineral matter เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยของแร่และหินต่างๆที่สลายตัวตามธรรมชาติ ส่วนนี้ควรมี 45 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่สองคืออินทรียวัตถุ organic matter เป็นส่วนที่เกิดจากการเน่าเปื่อยของซากพืชและสัตว์ ส่วนนี้ควรมี 5 เปอร์เซ็นต์ อีกสองส่วนที่เหลือควรมีอย่างละ 25 เปอร์เซ็นต์คืออากาศและน้ำ ในกรณีของดินนาซึ่งต้องมีน้ำขังเกือบตลอดเวลาจะมีอากาศในดินและน้ำน้อย ส่วนประกอบนี้จึงเป็นน้ำเกือบทั้งหมด การเผาตอซังและฟางข้าวทิ้งไปจึงเป็นการทำลายโอกาสที่จะพัฒนาดินให้มีศักยภาพการผลิตที่ดีขึ้น ดินนาส่วนใหญ่มีอินทรียวัตถุในดินน้อยกว่า 2 เปอร์เซ็นต์
ตอซังและฟางข้าวมีธาตุอาหารเป็นส่วนประกอบดังนี้คือ ไนโตรเจน 0.65-0.70 % ฟอสฟอรัส 0.08-0.10 % โพแทสเซียม 1.40-1.60 % แคลเซียม 0.40 % แมกนีเซียม 0.20 % หากเผาตอซังและฟางข้าวทิ้งไปเหลือเป็นขี้เถ้านั้นไนโตรเจนจะถูกทำลายไปกว่า 90 % ฟอสฟอรัส 20 % และโพแทสเซียม 23 % ตอซังและฟางข้าวมีเป็นจำนวนมากคิดคร่าวๆจากสัดส่วนของการผลิตข้าวเปลือก 1 ส่วนจะเกิดตอซังและฟางข้าว 1.5 ส่วน ปัจจุบันประเทศไทยผลิตข้าวได้มากกว่า 20 ล้านตันข้าวเปลือก/ปี ดังนั้นจะมีตอซังและฟางข้าวกว่า 30 ล้านตัน/ปี คิดเป็นปริมาณไนโตรเจนเพียงตัวเดียวเป็นปุ๋ยยูเรียประมาณ 42,000 ตัน/ปี
ดังนั้นการเผาตอซังและฟางข้าวนอกจากจะทำให้เกิดมลพิษคือความร้อน ควัน ฝุ่นละออง ปัญหาต่อการจราจรแล้ว ยังเป็นการทำลายวัสดุที่จะใช้ในการปรับปรุงดินที่จะสลายตัวให้ธาตุอาหารพืชจำนวนมหาศาลอีกด้วย
ประโยชน์ของอินทรียวัตถุ
ตอซังและฟางข้าวเป็นวัสดุอินทรีย์ที่เหลือจากการทำนาหากปล่อยทิ้งไว้จะสลายตัวตามธรรมชาติได้เป็นอินทรียวัตถุในที่สุด อินทรียวัตถุในดินเป็นวัตถุที่ซับซ้อนมากประกอบด้วยสารประกอบที่มีในพืชและสัตว์และมีจุลินทรีย์ที่ตายแล้วและยังมีชีวิตอยู่ และยังมีสารสังเคราะห์ที่เกิดจากกิจกรรมของจุลินทรีย์ อินทรียวัตถุในดินมีประโยชน์มากมาย สรุปสั้นๆ ในแต่ละหัวข้อคือ ในแง่ฟิสิกส์ช่วยในดินเกาะตัวเป็นก้อน granulation ช่วยอุ้มน้ำ water holding capacity ในแง่เคมีช่วยดูดซับธาตุอาหารพืชไว้อย่างหลวมๆ ช่วยต้านทานการเปลี่ยนแปลง pH ของดิน ในแง่ชีวะอินทรียวัตถุมีธาตุอาหารเป็นองค์ประกอบ เมื่อสลายตัวโดยกิจกรรมของจุลินทรีย์ธาตุอาหารเหล่านี้ก็จะถูกปลดปล่อยออกมาสะสมในดิน นอกจากนี้อินทรียวัตถุเป็นอาหารของจุลินทรีย์จึงมีผลต่อกิจกรรมของจุลินทรีย์ในดินเช่นการตรึงไนโตรเจนโดยจุลินทรีย์
ในคำแนะนำการใส่ปุ๋ยในนาข้าวที่ดินนามีการวิเคราะห์ดินแล้วนั้นให้มีการใส่ปุ๋ยลดลงตามสัดส่วนของอินทรียวัตถุในดินนานั้นๆ คือ ดินที่มีอินทรียวัตถุในดินมากกว่า 2 % ให้ใส่ปุ๋ยเพียงครึ่งของอัตราแนะนำ โดยทั่วไปอินทรียวัตถุในดินที่มีมากกว่า 2 % นั้นจะสลายตัวให้ธาตุอาหารพืชมากเพียงพอต่อการให้ผลผลิตของข้าว แต่ต้องมีการใส่ปุ๋ยบ้างเพื่อรักษาสมดุลของธาตุอาหารในดินนานั้นไว้
แล้วทำไมเผาตอซังและฟางข้าวทิ้งกันอีก
มีความจำเป็นอย่างน้อยสองประการที่ทำให้ชาวนาต้องทำการเผาตอซังและฟางข้าว คือทำเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการทำให้พื้นที่โล่งเตียนง่ายแก่การไถพรวนเตรียมดิน เนื่องจากการไถดะหรือไถพรวนจะทำได้ยากหากมีตอซังและฟางข้าวจำนวนมาก และการปล่อยให้ตอซังและฟางข้าวอยู่ในนาแล้วไถกลบลงไปอาจเกิดปัญหาข้าวเมาซังอันเกิดจากขบวนการสลายตัวของตอซังและฟางข้าวที่มีกิจกรรมของจุลินทรีย์เป็นตัวทำงานนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขบวนการ denitrification ที่จุลินทรีย์ในดินมีการดึงเอาไนโตรเจนในดินมาใช้ เพื่อย่อยสลายตอซังและฟางข้าวจนกลายเป็นอินทรียวัตถุที่มีประโยชน์ ในช่วงนี้ดินจะเกิดการขาดไนโตรเจนอย่างรุนแรง ชาวนาส่วนใหญ่ก็รู้ว่าตอซังและฟางข้าวนั้นหากเน่าเปื่อยผุพังและจะสลายตัวเป็นอินทรียวัตถุนั้น จะเป็นปุ๋ยอย่างดี แต่ก็ติดปัญหาที่กล่าวแล้วชาวนาส่วนหนึ่งจึงมักเผาทิ้งเพื่อตัดปัญหาไป และมีชาวนาบางส่วนที่เข้าใจผิดว่าการเผาฟางข้าวทำให้ดินดีขึ้น โดยสังเกตุจากการเผาฟางข้าวที่เหลือจากการนวดข้าวกองทิ้งไว้แล้วพบว่าเมื่อปลูกข้าวฤดูถัดไปบริเวณนั้นข้าวจะงามกว่าบริเวณอื่น
ใครเผาตอซังและฟางข้าวทิ้งบ้าง
จากการสำรวจข้อมูลทั่วทุกภาคของประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2541 พบว่าชาวนาในเขตชลประทานและนาน้ำลึกเผาตอซังและฟางข้าวมากกว่า 90 % แต่ชาวนาในพื้นที่นาน้ำฝนส่วนใหญ่ไถกลบตอซังและฟางข้าว อีกส่วนหนึ่งนำฟางข้าวไปเลี้ยงสัตว์ บางส่วนใช้คลุมแปลงผัก ใช้ตอซังเพาะเห็ด มีประมาณ 10- 20 % เท่านั้นที่เผาทิ้ง
งานวิจัยการไถกลบฟางข้าวและการใช้ตอซังและฟางข้าวในระบบการผลิตข้าว
งานวิจัยการใช้ประโยชน์จากฟางข้าวในแง่ของการเป็นประโยชน์ต่อการผลิตข้าว มีเป็นจำนวนมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังมีการวิจัยอย่างต่อเนื่อง
งานวิจัยการไถกลบตอซังและฟางข้าว
Ponnamperuma ดำเนินงานที่สถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ ในปี 2527 รายงานว่าการไถกลบฟางและตอซังข้าวติดต่อกัน 16 ฤดูการเพาะปลูกทำให้ได้ผลผลิตข้าว 656 กก./ไร่ ส่วนการเผาฟางข้าวอย่างต่อเนื่องให้ผลผลิตข้าว 544 กก./ไร่
ประเสริฐ สองเมือง (กองปฐพีวิทยา) ปี 2543 สรุปผลการทดลองการใส่ฟางข้าวอัตรา 1-2 ตัน/ปี ต่อเนื่อง 8 ปี ให้ผลผลิตข้าว กข7 441-488 กก./ไร่ ในขณะที่ไม่ใส่ฟางให้ผลผลิต 443 กก./ไร่ ส่วนข้าวขาวดอกมะลิ 105 ใส่ฟางข้าวต่อเนื่อง 8 ปี ให้ผลผลิต 431-444 กก./ไร่ ในขณะที่ไม่ใส่ฟางให้ผลผลิต 403 กก./ไร่
ชุติวัฒน์ วรรณสาย (ศูนย์วิจัยข้าวพิษณุโลก) ปี 2545 การใส่ฟางข้าว 2 ตัน/ไร่ ติดต่อกัน 3-4 ปี ให้ผลผลิตข้าว กข23 ใกล้เคียงกับการใส่ปุ๋ยเคมีอัตรา 8-4-4 กก. (N-P2O5-K2O) การใส่ฟางข้าว 2 ตัน/ไร่ทำให้ดินนามีความอุดมสมบูรณ์สูงกว่าการเกี่ยวตอซังออก หรือการเผาตอซังและฟางข้าวทิ้ง
สาคร ผ่องพันธ์ และคณะ (กองเกษตรเคมี) ปี 2547 ดำเนินการทดลองเพียง 2 ฤดู คือนาปรังต่อด้วยนาปี ปี 2541 สรุปว่าการใส่ฟางข้าวร่วมกับปุ๋ยยูเรียไม่มีผลช่วยเพิ่มผลผลิต หรือปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ไนโตรเจนจากปุ๋ย เมื่อเทียบกับการใส่ปุ๋ยยูเรียอย่างเดียว
ในทางวิชาการนั้นมีการทดลองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีผลเด่นชัดว่าตอซังและฟางข้าวมีประโยชน์ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และเพิ่มผลผลิตข้าวตลอดจนลดอัตราการใช้ปุ๋ยเคมี
ปัญหาของการไถกลบตอซังและฟางข้าว
นาน้ำฝน มีเพียงส่วนน้อยที่เผาทิ้ง การไถกลบตอซังและฟางข้าวทำได้ไม่ยากเนื่องจากฟางสั้นและมีไม่มาก ปัญหาข้าวเมาฟางก็ไม่เกิดเนื่องจากมีปริมาณตอซังและฟางข้าวน้อยกว่า
นาน้ำลึก เผาทิ้งเกือบทั้งหมด เนื่องจากระดับน้ำลึก 50-200 เซนติเมตร ต้นข้าวในระยะเก็บเกี่ยวอาจยาวถึง 300 เซนติเมตร หลังเก็บเกี่ยวด้วยแรงงานคนตอซังที่เหลือมีมากคลุมหน้าดินไว้ทั้งหมด ตอซังที่ยาวมากกว่า 150 เซนติเมตร หรือฟางข้าวที่พ่นออกจากเครื่องเกี่ยวนวดก็มีปริมาณมาก 1.5-2 ตัน/ไร่ การไถพรวนดินด้วยชุดไถผาล 7 จึงทำไม่ได้เลย ชุดไถผาล 3 พลิกดินกลบตอซังได้ประมาณ 50 % เท่านั้น หลังไถกลบตอซังแล้วไถพรวนด้วยชุดไถผาล 7 อีกครั้งหนึ่งก็ยังมีตอซังและฟางข้าวอยู่บนผิวดินจำนวนมาก เป็นอุปสรรคต่อการงอกและเจริญเติบโตของข้าว
นาชลประทาน เผาทิ้งเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการทำนาต่อเนื่อง การไถกลบอาจทำได้ด้วยชุดผาลไถทั่วไปหรือใช้จอบหมุนแบบต่างๆ แต่ก็จะเกิดปัญหาข้าวเมาฟางในช่วงแรก ทั้งๆที่หลังจากพ้นระยะนี้ไปแล้วตอซังและฟางข้าวจะเริ่มสลายตัวให้อินทรียวัตถุและธาตุอาหารแก่ดินและข้าว
จึงสรุปได้ว่าในพื้นที่นาน้ำลึกและนาชลประทานปัญหาคือการจัดการ ในพื้นที่นาน้ำลึกต้องหาอุปกรณ์คือชุดผาลที่สามารถไถกลบตอซังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในพื้นที่นาชลประทานต้องแก้ปัญหาข้าวเมาซัง
หากไม่เผาทิ้งจะทำอย่างไร
งานทดลองต่อไปนี้มีจุดประสงค์เพื่อแก้ปัญหาของชาวนา หากมีการไถกลบตอซังและฟางข้าวแล้วจะมีปัญหาอะไรบ้างและจะแก้อย่างไร มีงานวิจัย 2 ชิ้นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ดังนี้
1. งานวิจัยศึกษาวัสดุช่วยย่อยสลายตอซังและฟางข้าว
1.1 งานวิจัยการเตรียมดินแบบไม่เผาตอซังและฟางข้าว โดยไถกลบตอซังและฟางข้าว ในข้าวนาสวน และนาน้ำลึก (ศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรี )
งานวิจัยนี้ดำเนินการโดยผู้เขียนเองที่ศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรี วิจัยการผลิตข้าวที่มีการไถกลบตอซังและฟางข้าวแทนการเผาฟางข้าว โดยมีการศึกษาการใช้วัสดุต่างๆ ที่น่าจะส่งเสริมการย่อยสลายฟางข้าวของจุลินทรีย์ นำมาใส่ก่อนการไถกลบตอซัง สรุปผลการวิจัยได้ดังนี้
1.1.1 การผลิตข้าวนาสวนแบบไถกลบฟางข้าว
ดำเนินการทดลองในถังซีเมนต์โดยทำการใส่วัสดุหลายชนิดที่น่าจะส่งเสริมการย่อยสลายตอซังและฟางข้าว ใช้ตอซังและฟางข้าวอัตรา 2 กก./ตารางเมตร (ประมาณ 3.2 ตัน/ไร่) แล้วตรวจวัดความเปลี่ยนแปลงของอินทรียวัตถุในดินเพื่อเป็นตัวบ่งชี้การสลายตัวของตอซังและฟางข้าว และผลผลิตข้าวที่ปลูกหลังหมักตอซังและฟางข้าว ผลการทดลองพบว่าหัวเชื้อปุ๋ยหมัก พด.1 ปุ๋ยยูเรีย ปุ๋ยคอก ปูนมาร์ล และปูนขาว ที่ใส่ในช่วงการหมักฟางข้าวไม่มีผลต่อการสลายตัวของฟางข้าว วัสดุที่กล่าวมาไม่มีผลต่อผลผลิตข้าว ยกเว้นปุ๋ยยูเรียทำให้ข้าวพันธุ์ชัยนาท1 ที่ปลูกหลังหมักฟางข้าว 0-1 เดือนมีผลผลิตสูงขึ้น จากการคลุกหมักฟางข้าวลงในดินก่อนการปลูกข้าวอินทรียวัตถุในดินลดลงในช่วงแรก 0-1 เดือน หลังจากนั้นเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2-4 เดือนแล้ว
1.1.2 การผลิตข้าวนาน้ำลึกแบบไถกลบฟางข้าว
ดำเนินการทดลองในนาโดยทำการใส่วัสดุหลายชนิดที่น่าจะส่งเสริมการย่อยสลายตอซังและฟางข้าว แล้วไถกลบฟางด้วยชุดไถผาล3 และพรวนด้วยชุดไถผาล7 พบว่าหัวเชื้อปุ๋ยหมัก พด.1 ปุ๋ยยูเรีย ปุ๋ยคอก ปูนมาร์ล และปูนขาว ไม่มีผลต่อการสลายตัวของฟางข้าวและผลผลิตข้าว ยกเว้นปุ๋ยยูเรีย ที่ใส่ในช่วงไถกลบฟางข้าวไม่ทำให้ผลผลิตข้าวพันธุ์พลายงามปราจีนบุรีสูงขึ้น แต่มีแนวโน้มทำให้ผลผลิตลดลง
ผลการศึกษานี้สรุปว่าเมื่อมีการไถกลบตอซังและฟางข้าวในข้าวนาสวนการให้ไนโตรเจนในช่วงของการเริ่มย่อยสลายช่วยให้ผลผลิตข้าวดีขึ้น
1.2 การพัฒนาการผลิตข้าวนาชลประทานโดยใช้จุลินทรีย์เพื่อการจัดการฟางอย่างมีประสิทธิภาพ
(สุรพล จัตุพร ศูนย์วิจัยข้าวสุพรรณบุรี)
2.1 การศึกษาจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพย่อยสลายตอซังและฟางข้าว พบว่า จุลินทรีย์ พด.2 ช่วยย่อยสลายตอซังและฟางข้าวได้ดี สามารถปลูกข้าวได้หลังการไถกลบ 2 สัปดาห์
2.2 ศึกษาวิธีการจัดการฟางแตกต่างกัน 2 วิธี คือไถกลบ และไม่ไถกลบ โดยมีการใช้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ พด. 1+3 และ พด. 2 ย่อยสลายตอซังและฟางข้าว และเพิ่มประสิทธิภาพของจุลินทรีย์โดยการเพิ่มแหล่งอาหารและพลังงาน ได้แก่ กากน้ำตาล และปุ๋ยยูเรีย เปรียบเทียบกับวิธีการเผาหรือเอาตอซังและฟางข้าวออกนอกพื้นที่ ผลการศึกษาปริมาณโปรตีนและฟีนอลที่เกิดขึ้นในขบวนการย่อยสลายฟางข้าว และค่าลบในสภาพรีดักชั่น (Eh) พบว่าขบวนการย่อยสลายฟางเกิดขึ้นสูงสุดในช่วง 3-4 สัปดาห์ และค่าลบในสภาพรีดักชั่นมีค่าลดลงอย่างรวดเร็วในช่วง 3 วันแรกหลังการขังน้ำ และมีค่าเพิ่มขึ้นตามลำดับเมื่อดินอยู่ในสภาพ oxidation เมื่อลดระดับน้ำหลังการหว่านข้าว
ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าจุลินทรีย์และแหล่งอาหารช่วยให้การย่อยสลายเกิดเร็วขึ้นและเกิดสูงสุดในช่วง 2-3 สัปดาห์แล้วลดลงเมื่อปล่อยน้ำออก สอดคล้องกับผลการทดลองของศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรี
2.งานวิจัยศึกษาอุปกรณ์ช่วยในการไถกลบตอซังและฟางข้าว
(ศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรี)
คณะวิจัยโดยการนำของ อดีตผอ. สุเทพ นุชสวาท ได้นำชุดผาลสับใบและกลบเศษซากอ้อยที่พัฒนาโดยศูนย์วิจัยพืชไร่สุพรรณบุรี โดยคณะของคุณอรรถสิทธิ์ บุญธรรม นำมาเพื่อทดลองใช้ในการไถกลบตอซังข้าวนาน้ำลึก 2 ปี ได้ผลดี จึงทำเรื่องเสนอกรมวิชาการเกษตร และได้รับอนุมัติจากท่านอธิบดี ฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ ได้จัดซื้อชุดผาลฯ และแจกจ่ายไปยังศูนย์วิจัยข้าว 27 แห่งทั่วประเทศ และหลังการแจกจ่ายไปแล้วได้ศึกษาผลของการใช้ชุดผาลไถ ได้ผลดังนี้
1. หากใช้ชุดผาลนี้กับดินเหนียวแห้งจัดจะแข็งไถได้ไม่ดี ดินต้องมีความชื้นเล็กน้อยประมาณ 5-10 % ความชื้นสูงเกินไปขี้ไถจะเป็นก้อนใหญ่ทำให้ไถพรวนลำบาก หากเป็นดินร่วน หรือร่วนปนทรายความชื้นน้อยก็ไม่มีปัญหา
2. ในแปลงที่มีตอซังและฟางข้าว 1,500-2,000 กก./ไร่ หากปรับให้ไถลึก 20-25 ซม. จะสามารถไถกลบตอซังและฟางข้าวได้ 80-90 %
3. ความเร็วของการไถลึก 20-25 ซม. ได้พื้นที่ 1-1.5 ไร่/ชั่วโมง
4. ค่าใช้จ่ายในการใช้ชุดผาลไถนี้เพิ่มขึ้นจากการเตรียมดินโดยชุดไถผาล7 20-50 %
5. หลังการไถกลบและไถพรวนแล้วปลูกข้าวตามปกติแบบนาหว่านข้าวแห้งในพื้นที่นาน้ำลึก ข้าวงอกและเจริญเติบโตให้ผลผลิตดี ไม่แตกต่างจากการเผาตอซังและฟางข้าวแล้วเตรียมดินแบบเดิม
3.งานวิจัยวิธีการปลูกข้าวแบบอื่นๆ ที่ไม่มีการเผาตอซังและฟางข้าว
3.1 การปลูกข้าวนาน้ำลึกแบบไม่เผาตอซังและไม่ไถพรวน
(ศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรี)
ในพื้นที่นาน้ำลึกหลังเก็บเกี่ยวด้วยมือตอซังจำนวนมากนอนราบอยู่กับพื้นและยังไม่เกิดการเน่าเปื่อยเพราะยังไม่มีฝนตกนั้น การผลิตข้าวนาน้ำลึกแบบไม่เผาตอซังและไม่ไถพรวนดินผ่านการทดลองด้านเขตกรรม ดินปุ๋ย และวัชพืช พบว่าสามารถปฏิบัติได้จริง โดยสามารถเริ่มทำนาได้หลังจากมีปริมาณน้ำฝนสะสมมากพอสมควรในช่วงเดือนพฤษภาคมพื้นที่บางส่วนซึ่งเป็นส่วนใหญ่จะไม่มีวัชพืชงอกเลยเนื่องจากไม่เผาตอซังและไม่ได้ไถพรวน ตอซังที่มีอยู่หนาแน่นจะปกคลุมผิวหน้าดินเอาไว้ (Straw mulching) แต่บางส่วนของพื้นที่นาจะมีวัชพืชงอกเจริญเติบโตขึ้นมาหนาแน่น ควรรอเวลาสักระยะหนึ่งเพื่อปล่อยให้วัชพืชที่จะงอกในฤดูนี้ทะยอยงอกให้มากที่สุด เมื่อเกษตรกรต้องใช้สารกำจัดวัชพืชทดแทนการไถพรวนจะกำจัดวัชพืชได้มากที่สุด แต่จะไม่ปล่อยให้วัชพืชที่งอกรุ่นแรกโตมากเกินไป บริเวณที่มีวัชพืชตระกูลหญ้างอกเจริญเติบโตมีอายุเพียง 1-2 สัปดาห์ให้พ่นด้วย glyphosate (isopropylamine) หรือ glyphosate (monoammonium) อัตราต่ำ แต่หากเป็นวัชพืชตระกูลหญ้าที่โตมากแล้วและกกอายุข้ามปีเช่นแห้วทรงกระเทียมให้พ่นด้วย glyphosate (isopropylamine) หรือ glyphosate (monoammonium) อัตราสูง แต่หากเป็นวัชพืชใบกว้างและกกอื่นๆ ให้พ่นด้วย 2,4-D (dimethyl ammonium) หลังพ่นแล้ว 1 สัปดาห์ให้ตรวจเช็คว่าวัชพืชที่มีอยู่เริ่มตายลงไป หากมีวัชพืชในบริเวณใดไม่แสดงอาการถูกพิษของสารกำจัดวัชพืชให้ดำเนินการพ่นซ้ำในบริเวณที่เหลือนี้ อย่างไรก็ตามพื้นที่ส่วนใหญ่จะไม่มีวัชพืชงอกและไม่ต้องมีการใช้สารกำจัดวัชพืช จากนั้นให้คอยฟังการพยากรณ์อากาศจากสื่อที่มี แล้วหว่านข้าวแห้งในช่วงที่มีการพยากรณ์อากาศว่าจะมีฝนตกชุกหนาแน่น โดยหว่านข้าวแห้งอัตรา 20 กก./ไร่ ลงไปบนตอซังที่นอนราบและหญ้าที่กำลังเหี่ยวแห้งตายไป การปลูกข้าววิธีหว่านนี้ให้ใช้แรงงานคนอีก 1 คน ใช้ไม้ไผ่ที่มีความยาวประมาณ 3-4 เมตร ฟาดเบาๆ ลงไปบนตอซังหลังหว่านข้าว จะทำให้เมล็ดพันธุ์ข้าวหล่นลงไปในซอกระหว่างเส้นตอซัง หลังจากมีฝนตกพอสมควรข้าวจะงอกและเจริญเติบโตขึ้นมาได้ และให้ผลผลิตได้ดีไม่แตกต่างจากการเผาแล้วไถเตรียมดินแบบเดิม วิธีการผลิตข้าวนาน้ำลึกแบบนี้น่าจะเป็นการผลิตที่ยั่งยืนเพราะไม่เผาตอซัง สารกำจัดแมลงและโรคข้าวก็มักไม่ได้ใช้ในระบบนิเวศนี้อยู่แล้ว จากการดำเนินงาน 5 ปี ไม่มีโรคหรือแมลงศัตรูใดๆ ระบาดจนทำความเสียหายแก่ผลผลิตเลย ส่วนสารกำจัดวัชพืชก็จะใช้ในบริเวณส่วนน้อยเท่านั้น
3.2 การปลูกข้าวล้มตอซังแบบประยุกต์
(อัคครินทร์ ท้วมขำ สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5)
การปลูกข้าววิธีนี้จะทำต่อเนื่องจากการทำนาหว่านน้ำตมที่มีการทำอย่างดี ตั้งแต่การเตรียมดินและทำเทือกให้สม่ำเสมอ ใช้พันธุ์ข้าวไม่ไวแสงทั่วไปอัตราเมล็ดพันธุ์ 15-20 กก./ไร่ ก่อนเก็บเกี่ยว 10 วัน ให้ระบายน้ำออกให้ดินหมาดหลังเก็บเกี่ยวดินไม่ชื้นไม่แห้งเกินไป เก็บเกี่ยวข้าวระยะพลับพลึง 28-30 วัน หลังออกรวง ไม่เผาตอซังและฟางข้าว แต่เกลี่ยฟางข้าวให้สม่ำเสมอทั่วแปลงภายใน 1-3 วันหลังเกี่ยว แล้วย่ำตอซังให้ล้มนอนราบกับพื้นดินที่ชื้นหมาดๆ โดยย่ำตอนเช้ามืดมีน้ำค้างช่วยให้ฟางนุ่ม ย่ำให้ตอซังล้มไปในทางเดียวกัน 2-3 เที่ยว หากมีน้ำเข้าหรือฝนตกมาให้ทำร่องระบายออกไม่ให้น้ำขังทำลายหน่อข้าว เมื่อหน่อข้าวงอก 3-4 ใบ คือประมาณ 10-15 วันหลังล้มตอ ให้เอาน้ำเข้าดินแฉะแต่ไม่ท่วม ใส่ปุ๋ยครั้งแรกด้วย ยูเรีย 15-20 กก./ไร่ หลังใส่ปุ๋ย 5-7 วัน เอาน้ำเข้าสูง 5 ซม. เมื่อข้าวอายุ 40 วันใส่ปุ๋ย 16-20-0 อัตรา 25 กก./ไร่ และใส่ยูเรียอีกครั้ง 55 วันหลังล้มตอ อัตรา 20 กก./ไร่ ข้าวจะเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 90 วัน
การปลูกข้าววิธีนี้มีข้อจำกัดอยู่มากแต่ก็ยังมีเกษตรกรปฏิบัติอยู่ ต้องเตรียมดินในข้าวรุ่นแรกอย่างดี พื้นที่ต้องควบคุมน้ำได้ดี หากมีโรคแมลงรบกวนก็จะไม่สามารถใช้ตอซังต่อไปได้ อย่างไรก็ตามจากการทดลองของสถาบันวิจัยข้าวพบว่าผลผลิตของข้าวล้มตอซังมีผลผลิตลดลง แต่ต้นทุนและเวลาที่ใช้ในการผลิตข้าววิธีนี้ก็น้อยกว่านาหว่านน้ำตม
สรุปเนื่อหา
- ตอซังและฟางข้าวเป็นวัสดุอินทรีย์ที่มีค่าหากสามารถจัดการให้ย่อยสลายในนาจะได้เป็นอินทรียวัตถุเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน และลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้
- ตอซังและฟางข้าวในสภาพนาชลประทานมีปริมาณมากต้องมีการใส่วัสดุช่วยในการย่อยสลายฟางข้าวและปุ๋ยไนโตรเจนเพื่อแก้ไขอาการเมาฟางของข้าว จุลินทรีย์จาก พด.2 ช่วยย่อยสลายฟางข้าวภายใน 2 สัปดาห์ ปุ๋ยยูเรีย 16 กก./ไร่ ใส่ในช่วงไถกลบตอซังและฟางข้าว ช่วยแก้ปัญหาข้าวเมาซังได้
- ชุดสับใบและกลบเศษซากอ้อยสามารถไถกลบตอซังและฟางข้าวในพื้นที่นาน้ำลึกที่มีตอซังยาวกว่า 150 ซม. กลบตอซังและฟางข้าวได้ดี 80-90 %
- ในพื้นที่นาน้ำลึกการปลูกข้าวโดยไม่เผาตอซังและฟางข้าวให้ผลผลิตได้ไม่แตกต่างจากการเตรียมดินแบบเดิม
- ในพื้นที่นาชลประทานที่ปลูกข้าวนาหว่านน้ำตมอย่างประณีตในฤดูถัดไปใช้วิธีการปลูกแบบล้มตอซังโดยไม่ต้องเผาฟางข้าว ผลผลิตอาจน้อยลงแต่ใช้ต้นทุนและเวลาน้อยกว่านาหว่านน้ำตมทั่วไป
เอกสารอ้างอิง คณาจารย์ภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 2530. ปฐพีวิทยาเบื้องต้น. 673 หน้า. เจริญ ท้วมขำ. 2544. การปลูกข้าวล้มตอซังแบบประยุกต์. เอกสารประกอบการบรรยายการฝึกอบรมหลักสูตรเรื่อง วิชาเครื่องจักรกลเกษตรก่อนเก็บเกี่ยว. 33 หน้า. สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 5 จ.ชัยนาท. ประเสริฐ สองเมือง. 2543. การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในนาข้าว. 84 หน้า. กรมวิชาการเกษตร. สาคร ผ่องพันธ์ อาร์วิน อาร์ โมซิเออร์ เจนวิทย์ สุขทองสา. 2547. ผลของการใส่ฟางข้าวและขี้เถ้าที่มีต่อประสิทธิภาพของปุ๋ยยูเรียที่หว่นในนาข้าว. วารสารวิชาการเกษตร. ปีที่ 22 ฉบับที่ 1.หน้า 9-23. ศูนย์วิจัยข้าวพิษณุโลก. 2545. 40 ปี ศูนย์วิจัยข้าวพิษณุโลก. 114 หน้า. โรงพิมพ์ตระกูลไทย พิษณุโลก. Ponnamperuma F.N. 1984. Straw as a source of nutrients for wetland rice. Organic Matter and Rice. International Rice Research Institute. Los Banos Philippines page 117-136.
|