บทความลงในนสพ.กสิกรคู่คิดชาวนา พิสิฐ พรหมนารทศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรี สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6
|
เดิมผู้เขียนทำงานด้านปรับปรุงการผลิตข้าวนาสวนที่สถานีทดลองข้าวชุมแพ สังกัดศูนย์วิจัยข้าวอุบลราชธานี ทำงานได้ไม่นานก็รู้สึกว่ามีความรู้ไม่เพียงพอที่จะทำงานวิจัยให้ดีได้จึงหาทางเรียนต่อ สมัยนู้นทุนเรียนปริญญาโทและเอกมีค่อนข้างเยอะครับ จากการสอบชิงทุนการศึกษาในครั้งที่ 2 ก็ประสบผลสำเร็จและนับเป็นเวลาปฏิบัติงานวิจัยแบบไม่ต้องคิดเองได้ราว 4 ปี โดยได้ทุนภายใต้ Columbo plan อยู่ในโครงการวิจัยเกษตรแห่งชาติ ( สกช ) ศึกษาในระดับปริญญาโท สาขาวิชาเอกพืชไร่นา ( Agronomy ) เน้นหนักงานวิจัยด้านชีววิทยาวัชพืช หลังสำเร็จการศึกษาได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทุนคือถูกตัดโอนตำแหน่งมาที่ศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรี ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอบ้านสร้าง
จังหวัดปราจีนบุรีมีภูมิประเทศเฉพาะตัวที่ห้ามลอกเลียนแบบ อำเภอเมือง อำเภอประจันตคาม และอำเภอนาดี มีพื้นที่ติดเทือกเขาใหญ่ แน่นอนว่าต้องมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลโขอยู่ ในขณะเดียวกันพื้นที่บางส่วนของอำเภอเมือง อำเภอบ้านสร้าง อำเภอศรีมหาโพธิ์ และอำเภอศรีมโหสถ กลับมีพื้นที่นาเป็นที่ราบลุ่มลึกความสูงเหนือระดับน้ำทะเลเพียง 2-3 เมตร เท่านั้น แม่น้ำบางปะกงยิ่งสร้างความประหลาดใจให้ผู้เขียนขึ้นไปอีก คือในฤดูแล้งที่ฝนขาดหายไปนานจะมีอาการน้ำทะเลหนุน น้ำในแม่น้ำซึ่งในช่วงนี้เป็นน้ำกร่อยไปเรียบร้อยโรงเรียนวัดบ้านสร้างแล้วนั้น จะขึ้นลงตามระดับน้ำทะเลอีกต่างหาก เดือนเมษายนปี 2535 ปีแรกที่ผู้เขียนมาทำงานที่นี่ก็ได้ลิ้มรสความเค็มของน้ำทะเลทางตา คือน้ำกร่อยที่ประปาอำเภอบ้านสร้างสูบขึ้นจากแม่น้ำบางปะกงมันเค็มขนาดว่าหากใช้อาบแล้วให้มันเข้าตาก็จะแสบตาเพราะความเค็มนั้นเอง
ศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรีในสมัยนั้นสังกัดสถาบันวิจัยข้าว มีหน้าที่ดำเนินงานวิจัยข้าวขึ้นน้ำและข้าวทนน้ำลึก เรียนท่านผู้อ่านอีกนิดหน่อยว่า ข้าวขึ้นน้ำหมายถึงพันธุ์ข้าวที่มีความสามารถพิเศษที่ไม่มีในข้าวอื่น ( ไม่ห้ามลอกเลียนแบบนะครับ ) คือสามารถเจริญเติบโตยืดตัวหนีน้ำท่วมที่เพิ่มระดับประมาณวันละ 10 เซนติเมตร และเจริญเติบโตได้ดีเมื่อมีระดับน้ำลึก 100-200 เซนติเมตร อีกประเภทหนึ่งคือข้าวทนน้ำลึกเจริญเติบโตได้ดีเมื่อมีระดับน้ำลึก 50-100 เซนติเมตร ปัจจุบันข้าวทั้งสองชนิดถูกรวมเรียกว่าข้าวนาน้ำลึก อดีตผู้อำนวยการศูนย์ ฯ ผ.อ ประโยชน์ เจริญธรรม มอบหมายให้ผู้เขียนปฏิบัติงานในกลุ่มปรับปรุงการผลิตโดยรับผิดชอบงานวิจัยด้านวัชพืชของข้าวขึ้นน้ำและข้าวทนน้ำลึกตามที่ได้ไปเรียนมานั้นเอง นั้นคือผู้เขียนต้องคิดงานขึ้นมาเองเขียนโครงการวิจัยเสนอต่อคณะกรรมการวิจัยของศูนย์ ฯ หากผ่านก็จะเข้ารอบลึกเข้าไปอีก โดยจะต้องไปผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการสถาบันวิจัยข้าว และหากผ่านในรอบสองนี้ได้ก็จะได้รางวัลเป็นเงินวิจัยที่จะตกมาที่ศูนย์ฯ นั้นเอง สมัยก่อนเรียกการเสนองานแบบนี้ว่าการเขียนทะเบียนวิจัย นั้นคือผู้เขียนและนักวิจัยรุ่นพี่ทุกท่านที่นี่และทุกที่ในกรมวิชาการเกษตรสมัยนั้นต้องปฏิบัติแบบนี้ ขั้นตอนที่ว่านี้ใช้เวลา 2 ปี จึงจะได้ทำงานวิจัยที่เสนอไว้
สิ่งที่เคยชินอีกอย่างหนึ่งสำหรับที่นี่แต่ไม่คุ้นเลยและแปลกใจมากสำหรับผู้เขียนคือการเผาตอซังและฟางข้าว ก่อนเริ่มทำนาชาวนาจะเผาตอซังและฟางข้าวที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวทิ้งไปให้หมด โดยจะปฏิบัติการอันไม่ค่อยจะสุนทรนี้ตั้งแต่หลังเก็บเกี่ยวปลายเดือนมกราคมเป็นต้นไป ผลอันพึงประสงค์ที่ได้จากการเผาอินทรียวัตถุอันมีค่านี้ทิ้งไปก็คือความสะดวกในการไถพรวนเพียงประการเดียว โดยการไถจะทำในเดือนเมษายนแล้วหว่านข้าวแห้งก่อนสงกรานต์เป็นต้นไป เมื่อมีฝนตกสะสมมากพอข้าวก็จะงอกเจริญเติบโตสวยงามดีในเดือนพฤษภาคม ข้าวสองชนิดนี้จะได้เวลาเก็บเกี่ยวตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมไปจนถึงต้นเดือนมกราคม แต่ก็มีความแตกต่างกันบ้างคือในบางพื้นที่เช่นแถบจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอาจเก็บเกี่ยวเอากุมภาพันธ์โน้นแหละครับ
ผลอันไม่พึงประสงค์ที่ได้จากการเผานี้คือความร้อน ควัน ละอองฝุ่นขี้เถ้าฟาง ทั้งสามสิ่งนี้เป็นพิษภัยต่อสภาพแวดล้อมของโลกในภาพกว้าง ใครที่ได้ดูหนังชื่อ วิกฤติวันสิ้นโลก The day after tomorrow คงจะเห็นถึงความน่ากลัวที่เราอาจจะได้เห็นในช่วงชีวิตเรานี้ ส่วนพิษภัยที่ใกล้ตัวเข้ามาเช่นอุบัติเหตุบนท้องถนนเนื่องจากควันบดบังทัศนวิสัยสำหรับการจราจรและสุขภาพของประชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้น ก็จะทำให้เห็นชัดขึ้นมาถึงปัญหาจากการเผาตอซังและฟางข้าวทั้งสิ้น ผู้เขียนจึงคิดหาทางแก้ปัญหานี้มาตั้งแต่บัดนั้น
ถาม : ฟางน่ะไม่เผาทิ้งได้ไหมครับ ?
ตอบ : โอ๊ย ! ไม่เผาไถไม่ได้หรอกซังมันแยะ ถ้าไถกลบฟางก็จะมีปัญหาข้าวไม่ค่อยงอกและ
เจริญเติบโตไม่ดี
หลังจากเผาตอซังและฟางข้าวแล้วชาวนาที่นี่เขาใช้รถแทรกเตอร์ใหญ่ครับจำพวกฟอร์ด 5500 6600 ใช้ลากชุดไถผาล 7 ว่าจ้างกันไร่ละ 80-100 บาท วิ่งไถกันทั้งวันทั้งคืนได้ประมาณชั่งโมงละ 3-5 ไร่ ฟางหนามากครับที่นี้ ก็มันนาน้ำลึกนี่ครับ ช่วงน้ำหลากในเดือนกันยายน-ตุลาคม น้ำในนาอาจลึก 1-2 เมตร และจะถูกกักอยู่ในนาไปจนใกล้เก็บเกี่ยวจึงจะเปิดประตูน้ำระบายลงสู่แม่น้ำบางปะกงในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ตอนเก็บเกี่ยวข้าวอาจมีความยาวจากโคนต้นถึงปลายรวงประมาณ 250 เซนติเมตร แม้จะมีความหนาแน่นเพียง 100-150 ต้นต่อตารางเมตรก็ตาม ชุดไถผาล 7 บอกอยู่แล้วมีผาลไถกลบ 7 อัน ด้วยจำนวนผาลที่มากเกินไปนี่เองเมื่อวางชุดใบผาลลงบนตอซังที่หนามากของข้าวนาน้ำลึกใบผาลจึงกลิ้งไปบนตอซังไม่กินดินเลย ดังนั้นหากไม่เผาเจ้าอย่าหวังว่าจะไถได้ ความพยายามอยู่ที่ไหนความลำบากอยู่ที่นั้น เอ๊ย ไม่ไช่ ๆ มันต้องทำได้สักทางหนึ่งละน่า ชุดไถดะผาล 3 ไงหล่ะ ผู้เขียนใช้ชุดไถดะผาล 3 นี้ดำเนินงานวิจัยไถกลบฟางข้าวตั้งแต่ปี 2541 จนจบงานวิจัยในปี 2544 ความจริงได้เริ่มทดลองแบบศึกษาเบื้องต้นก่อนหน้านั้นแล้ว โดยทำงานร่วมกับเจ้าแม่ดินปุ๋ยข้าว ดร.ลัดดาวัลย์ กรรณนุช ตอนนั้นประมาณปี 2538 เจ้าแม่ท่านยังอยู่ที่นี่ครับหลายท่านคงรู้จักนะครับ ถึงตรงนี้เข้าใจกันไว้ก่อนนะครับว่าปัญหาการปฏิบัติตัดทิ้งไปก่อนนะครับ คือที่จริงแล้วไถกลบฟางนะทำได้แม้ฟางจะยาวและหนามาก แต่ต้องใช้ชุดไถผาล 3 และต้องตามด้วยการไถพรวนด้วยชุดไถพรวนผาล 7 จึงจะหว่านข้าวแห้งได้
ผู้เขียนได้ดำเนินงานวิจัยการไถกลบฟางข้าวโดยยึดพื้นฐานของปัญหาที่ว่าหากไถกลบฟางแล้วปลูกข้าว ข้าวจะเมาฟาง คืองอกน้อยและเจริญเติบโตไม่ดี นั่นคือฟางข้าวที่ยังไม่สลายตัวเป็นอินทรียวัตถุจะเป็นปัญหากับข้าวที่กำลังงอกและเจริญเติบโต ดังนั้นต้องหาวัสดุอะไรก็ได้ที่จะมาช่วยย่อยสลายฟางข้าวให้คืนธาตุอาหารแก่ดินและส่งเสริมการเจริญเติบโตของข้าวด้วย จึงได้ดำเนินการทดลองโดยใช้วัสดุดังนี้คือ ปุ๋ยยูเรีย ปุ๋ยคอก หัวเชื้อปุ๋ยหมัก พด.1 สารเร่ง พด.2 น้ำสกัดชีวภาพ ปูนขาว และปูนมาร์ล โดยตั้งสมมุติฐานว่าหากวัสดุเหล่านี้มีประสิทธิภาพช่วยย่อยสลายฟางข้าวได้ดีกว่าสภาพธรรมชาติ เมื่อใส่วัสดุเหล่านี้ลงบนฟางข้าวแล้วไถกลบลงในดิน เมื่อดินมีความชื้นสูงพอจุลินทรีย์เริ่มทำงานจะเกิดการสลายตัวของฟางข้าว เมื่อเป็นเช่นนี้อินทรียวัตถุในดินก็ต้องเพิ่มขึ้นตามการสลายตัวของฟางข้าว และหากวัสดุเหล่านี้ช่วยในการสลายตัวของฟางข้าวอินทรียวัตถุในดินก็จะต้องเพิ่มเร็วกว่าการไม่ใส่วัสดุ และได้ข้าวที่มีผลผลิตสูงขึ้นด้วย โดยได้ทำการทดลองทั้งในข้าวนาน้ำลึก ( ทดลองในแปลงนา ) และในข้าวนาสวน ( ทดลองในถังซีเมนต์ ) ในนาน้ำลึกหลังไถกลบฟางประมาณ 1 เดือนจึงไถพรวนแล้วหว่านข้าวแห้ง ในนาสวนหลังไถกลบฟางประมาณ 1 เดือนจึงทำเทือกแล้วปลูกข้าวด้วยวิธีหว่านน้ำตม
ในข้าวนาน้ำลึกพบว่าวัสดุทุกชนิดที่ใช้ในการทดลองไม่ช่วยย่อยสลายฟางข้าว วัสดุทุกชนิดไม่ทำให้ผลผลิตข้าวสูงขึ้น ซ้ำร้ายกว่านั้นปุ๋ยยูเรียยังทำให้ผลผลิตข้าวนาน้ำลึกลดลง ทั้งนี้เนื่องจากอัตราปุ๋ยยูเรียที่หวังจะให้ช่วยย่อยสลายฟางข้าวกลับทำให้ข้าวนาน้ำลึกที่มีลักษณะผลผลิตต่ำและไม่ตอบสนองต่อปุ๋ยไนโตรเจนนั้น ปุ๋ยไนโตรเจนที่มากเกินไปทำให้ข้าวเฝือใบและผลผลิตต่ำลงในที่สุด ส่วนในข้าวนาสวนพบว่าวัสดุทุกชนิดไม่ช่วยย่อยสลายฟางข้าวและไม่ทำให้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ยกเว้นปุ๋ยยูเรียที่ทำให้ผลผลิตข้าวนาสวนสูงขึ้น ผลสรุปที่แตกต่างกันนิดเดียวแต่เป็นส่วนที่สำคัญมาก และเข้าใจได้ง่ายก็คือในข้าวนาสวนนี้ใช้พันธุ์ข้าวชัยนาท 1 ที่สามารถตอบสนองต่อปุ๋ยไนโตรเจนระดับสูงและให้ผลผลิตสูงด้วย ในการทดลองกับข้าวนาสวนนี้กรรมวิธีที่ไม่ใส่ปุ๋ยยูเรียข้าวจะออกอาการเมาฟางก่อนที่จะใส่ปุ๋ย 16-20-0 เป็นปุ๋ยครั้งที่ 1 หลังใส่ปุ๋ยตามปรกติแล้วข้าวจึงดีขึ้นแต่ก็ยังแพ้พวกที่ใส่ปุ๋ยยูเรียก่อนไถกลบฟางอยู่ดี
ผลจากการทดลองในข้าวนาสวนนี้ทำให้นึกถึงวิธีปฏิบัติของชาวนาในเขตชลประทานที่ทำนาติดต่อกัน 2-3 ครั้งต่อปี ไม่ได้มีเวลาพักดินนานๆ ชาวนาบางท่านไม่สนใจการใส่ปุ๋ยตามคำแนะนำแต่คาดว่าใส่ตามความรู้สึกของตัวเองและตามเพื่อนบ้านที่ทำแล้วได้ผลดี กล่าวคือชาวนากลุ่มนี้จะใส่ปุ๋ยยูเรียเป็นปุ๋ยครั้งที่ 1 เมื่อข้าวอายุประมาณ 20 วัน แล้วจึงตามด้วยปุ๋ยเม็ดคือ 16-20-0 เมื่อข้าวอายุได้เดือนกว่า การเผาฟางข้าวในนาสวนเขตชลประทานนี้ตอซังไม่ได้ถูกเผาไหม้จนเตียนโล่งทุกแปลง ในขณะที่ในพื้นที่นาน้ำลึกส่วนใหญ่ไฟจะเผาไหม้ตอซังติดพื้นดินจนเตียนโล่ง ฟางข้าวที่เหลืออยู่ในนาชลประทานอาจเหลืออยู่มากถึง 1 ตันต่อไร่ เพราะต้นข้าวช่วงกลางไปจนถึงรวงเท่านั้นที่ถูกรถเกี่ยวนวดตัดแล้วนวดเอาเมล็ดข้าวเปลือกออกไปแล้วถูกพ่นออกมา ฟางข้าวส่วนนี้แหละที่ชาวนามักจะเผาเพราะหลังถูกพ่นออกมามันจะลอยไปค้างบนตอซังที่ตั้งอยู่ ฟางข้าวจึงแห้งและติดไฟถูกเผาไหม้ไป ตอซังที่รอดพ้นจากการเผาไหม้นี่เองที่น่าจะเป็นเส้นผมบังภูเขาที่น่าจะมีผลต่อการใส่ปุ๋ยที่ถูกต้อง ตอซังและฟางข้าวที่เหลือนี้เมื่อถูกไถกลบจึงเริ่มขบวนการย่อยสลาย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงนี้การสลายตัวของฟางข้าวจุลินทรีย์จะใช้ไนโตรเจนในดินในการย่อยสลายฟางข้าวดินจึงขาดไนโตรเจน จึงเป็นโอกาสอันดีของปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 ของชาวนาที่มองเห็นว่าข้าวกำลังขาดไนโตรเจนจะไปแก้สถานการณ์ได้ทัน ในขณะที่ปุ๋ย 16-20-0 ที่ถูกแนะนำให้ใช้เป็นปุ๋ยครั้งที่ 1 อาจมีความเข้มข้นและปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อสภาวะขาดไนโตรเจนของดินนั้น ชาวนาที่กล้าลองดีใส่ปุ๋ยยูเรียเมื่อเห็นว่าข้าวของข้าฯ กำลังแย่แล้วนั้นดูดีขึ้นมาทันตาภายใน 3 วันเลยหล่ะครับ ปล่อยให้นักวิชาการเกษตรหรือนักส่งเสริมงงไปเลย
ผู้เขียนได้ดำเนินงานวิจัยนี้เสร็จสิ้นแล้วในปี 2544 พอดีกับที่ศูนย์ฯ ได้ ผ.อ คนใหม่คือ ผ.อ. สุเทพ นุชสวาท อดีตท่านเป็นผู้อำนวยการสถานีทดลองข้าวโคกสำโรง ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นศูนย์บริการวิชาการด้านพืชและปัจจัยการผลิตลพบุรีไปเรียบร้อยแล้ว ในปี 2545 ท่านได้นำชุดสับใบและกลบเศษซากอ้อยมาทดลองไถกลบตอซังข้าวนาน้ำลึก การไถกลบไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็เป็นที่น่าพอใจ ผลงานออกมาดีกว่าชุดไถผาล 3 มากเลยครับ ชุดสับใบและกลบเศษซากอ้อยนี้เป็นผลงานของกรมวิชาการเกษตร โดยคุณอรรถสิทธิ์ บุญธรรม นักวิชาการเกษตร รุ่นเดียวกันกับผู้เขียนนี้แหละที่เป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นร่วมกันกับหลายฝ่ายจนสำเร็จ ต้นปี 2546 ศูนย์ฯ ได้ทดสอบชุดสับใบนี้อีกครั้งก็ได้ผลดี ผ.อ.สุเทพ จึงขออนุมัติกรมวิชาการเกษตรซื้อจำนวน 37 ชุด ซึ่งท่านอธิบดีคนปัจจุบัน ท่านฉกรรจ์ แสงรักษาวงศ์ ได้กรุณาให้การสนับสนุน อนุมัติเงินจำนวนมากกว่า 1.5 ล้านบาท เพื่อจัดทำและแจกจ่ายไปตามศูนย์ฯ ต่างๆ ทั่วประเทศ ดังนั้นหากท่านใดประสงค์จะไถกลบตอซังข้าวตามที่ผู้เขียนโฆษณาชวนเชื่อมาแล้วก็ดำเนินการได้แล้วนะครับ หรือท่านเกษตรกรที่อยู่ใกล้เคียงกับศูนย์วิจัยข้าวและสถานีทดลองข้าวเดิมสามารถติดต่อขอยืมได้เลย
กลับมาที่คำถามเดิม ฟางน่ะไม่เผาทิ้งได้ไหมครับ ? คำตอบเดิมครับ โอ๊ย ! ไม่เผาไถไม่ได้หรอกซังมันแยะ อ้าวถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไถซะเลยสิจะได้ไม่ต้องเผา ผมไม่ได้กวนนะครับปลูกข้าวโดยไม่ต้องเตรียมดินคือไม่ไถพรวน Zero-tillage การปลูกพืชแบบไม่ไถพรวนไงครับ ทำได้หรือเปล่านะ ? ในนิเวศนาน้ำลึกมีลักษณะหลายประการที่เอื้ออำนวยให้ใช้เทคโนโลยีการปลูกข้าวแบบไม่ไถพรวน ผู้เขียนได้ดำเนินการทดลองเบื้องต้นหลายปีแล้วได้งบประมาณมาทำวิจัยเรื่องนี้ 4 ทะเบียนวิจัย ทำเสร็จและสรุปแล้วในปี 2546
ผลของการวิจัยสรุปได้ว่าการปลูกข้าวนาน้ำลึกแบบไม่เผาฟางข้าวไม่ไถพรวนสามารถให้ผลผลิตได้ดีไม่แพ้การปลูกแบบเดิม แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือในปีที่สองของการปลูกแบบไม่เผาฟางข้าวไม่ไถพรวนนี้สามารถให้ผลผลิตดีโดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยเคมีอัตราแนะนำซะด้วย เอาไว้เล่าให้ฟังถึงรายละเอียดของวิธีการปลูกแบบนี้ในคราวต่อไปก็แล้วกันนะครับ
สองทางครับที่อาจเป็นไปได้ อาจเป็นทางเลือกให้เกษตรกรได้ใช้หากเกษตรกรเหล่านั้นอยากจะเป็นลูกผู้ชายตัวจริงที่ยอมเปลี่ยนจากการปฏิบัติเดิม ๆ อย่างที่นักวิจัยทั่ว ๆ ไปรู้และอย่านึกเอาเองว่าเกษตรกรจะไม่รู้นะครับ ฟางข้าวเป็นอินทรียวัตถุที่มีธาตุอาหารเป็นส่วนประกอบแม้จะน้อยนิดหากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่หากคิดถึงปริมาณที่มีผู้อาวุโสและน่าเชื่อถือมากกว่าผู้เขียนได้คำนวณไว้ว่าฟางข้าวในบ้านเมืองเรามีมากถึง 25 ล้านตันต่อปี ก็จะเป็นปริมาณธาตุอาหารพืชที่มากโขอยู่นะครับ ชาวนาเขารู้ครับว่าตอซังและฟางข้าวมันจะถูกย่อยสลายภาษาชาวบ้านบอกว่ามันจะเปื่อยยุ่ยได้เองและกลับกลายไปเป็นปุ๋ยคืนให้แก่ดินในที่สุด ฟางข้าวมีส่วนประกอบที่เป็นธาตุอาหารหลักคือไนโตรเจน 0.5-0.7 % ฟอสฟอรัส 0.08 % โพแทสเซียม 1.6 % แต่หากฟางข้าวถูกเผาไนโตรเจนจะหายไปเกือบหมดคือ 93 % ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมหายไปประมาณ 20 % เจ้าสองตัวหลังนี้เองที่ไปกองทับถมจนทำให้ชาวนาเข้าใจผิดว่าการเผาฟางข้าวทำให้ดินดีขึ้น บริเวณที่เผาก็ดีขึ้นจริงๆ นะแหละแต่บริเวณอื่นขาดทุนยับสิครับ
จากผลการวิจัยสองเรื่องคืองานวิจัยศึกษาการไถกลบฟางข้าว และการศึกษาเทคโนโลยีการปลูกแบบไม่เผาฟางไม่ไถพรวน ทั้งสองเรื่องนี้มุ่งสู่จุดหมายเดียวกันคือเป็นวิธีปฏิบัติที่งดเว้นการเผาฟางข้าวก็ยังสามารถปลูกข้าวนาน้ำลึกได้ เป็นทางเลือกให้เกษตรกรถึงแม้งานวิจัยนี้จะยังไม่ได้ผ่านการทดสอบในไร่นาเกษตรกร อย่างไรก็ตามในปี 2547-2549 ผู้เขียนได้เสนอทะเบียนวิจัยผ่านสภาวิจัยแห่งชาติ ( วช. ) จะได้นำเทคโนโลยีการปลูกแบบไม่เผาฟางไม่ไถพรวนไปทดสอบในนาเกษตรกร และศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรีได้เสนอโครงการจัดการฟางข้าวเพื่อการผลิตที่ยั่งยืน มีวัตถุประสงค์ย่อๆคือลดพื้นที่การเผาฟางข้าว โดยของบประมาณจากจังหวัดปราจีนบุรีในหมวดของงบกลางปี ปี 2547 งบที่ได้จะถูกใช้จ่ายไปในการทำแปลงทดสอบเทคโนโลยีทั้งสองนี้และซื้อชุดสับใบและกลบเศษซากอ้อยให้กับสำนักงานเกษตรอำเภอทุกแห่งในจังหวัดปราจีนบุรี ไว้ให้เกษตรกรใจกล้ายืมไปทดลองใช้กันอำเภอละ 2 ตัว ขณะนี้สำนักงบประมาณได้พิจารณาจัดสรรกรอบวงเงินเบื้องต้นให้จังหวัดปราจีนบุรีแล้ว
อย่าลืมนะครับว่าการลดพื้นที่เผาฟางข้าวเป็นนโยบายระดับชาติ งานวิจัยทั้งสองชิ้นของศูนย์วิจัยข้าวปราจีนบุรีโดยผู้เขียนน่าจะมีผลต่อนโยบายของชาติและการเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติแบบเดิมๆ ชาวนาบางส่วนมีการเผาตอซังและฟางข้าวจำนวนมากทิ้งไปด้วยความจำเป็นอันใดก็ตาม การเผาฟางทิ้งเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการผลิตที่จะเป็นสาเหตุของการผลิตที่ไม่ยั่งยืนและไม่พึ่งตนเอง ในเมื่อเราเผาทำลายทิ้งซึ่งวัสดุปรับปรุงดินที่มีประโยชน์คือตอซังและฟางข้าว แทนที่ส่วนนี้จะถูกย่อยสลายกลับไปเป็นปุ๋ยให้แก่ข้าวในฤดูการผลิตต่อไปได้อีก หากต้องการขบวนการผลิตที่ยั่งยืนและพึ่งตนเองมากขึ้นก็ต้องใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์แก่การผลิตมากที่สุดเท่าที่จะทำได้