[Review] รีวิว iPad Air บางลง เบาลง พกพาง่ายขึ้น สมคำว่า “Air”

หลังจากที่เดือนที่แล้วมา เราได้ทำรีวิวของ iPhone 5s กันไป ผ่านมาไม่ถึงเดือนแอปเปิลก็ได้วางจำหน่าย iPad รุ่นใหม่ในไทยเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตามหลังสหรัฐอเมริกาที่วางจำหน่าย iPad Air ไปเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนไปติดๆ เรียกได้ว่าคราวนี้ประเทศไทยได้วางขาย iPad รุ่นใหม่เร็วมากๆ ไม่ต้องรอกันหลายเดือน เหมือนครั้งก่อนๆ แล้ว แถมการวางขายในครั้งนี้ยังมาทั้ง iPad Air และ iPad mini รุ่นใหม่ด้วย โดยการวางขายนั้นจะวางขายรุ่น Wi-Fi ก่อน แล้วจะนำรุ่น Cellular ที่สามารถใส่ซิมเล่น 3G ได้ตามมาทีหลังในวันที่ 29 พฤศจิกายน และ 4 ธันวาคม สำหรับ iPad Air และ iPad mini ตามลำดับ ซึ่ง iPad ที่จะนำมารีวิวให้ชมกันในวันนี้ ก็เป็น iPad Air รุ่น Wi-Fi ครับ จะเป็นอย่างไรกันบ้าง ติดตามอ่านกันได้เลยคร้าบ

สัมผัสของตัวเครื่อง

iPad Air รุ่นนี้ ถือเป็น iPad รุ่นที่ 5 แล้วที่แอปเปิลได้ทำการเปิดตัวในแต่ละปี ถือว่าเป็น iPad อีกรุ่นนึงที่มีความเปลี่ยนแปลงมากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ก่อนที่เราจะมาดูตัวเครื่อง เรามาดูกล่องของ iPad Air กันก่อนครับ

กล่องของ iPad Air นั้นแค่เห้นก็จะสังเกตได้เลยว่ามีขนาดเล็กลงกว่าเดิมพอควร ด้านหน้ากล่องยังคงเป็นรูป iPad วางแนวเฉียงๆ เช่นเดียวกับกล่องรุ่นก่อนๆ ที่ผ่านมา เมื่อเปิดกล่องขึ้นมาแล้วก็จะพบกับ iPad Air วางนอนอยู่ขนาดพอดีกล่องเลย ด้านใต้ของ iPad จะเป็นอุปกรณ์ต่างๆ และคู่มือ ซึ่งอุปกรณ์ที่มีมาให้นั้นก็ได้แก่อแดปเตอร์ความแรง 12W และสาย Lighting ไว้สำหรับเสียบชาร์จและซิงค์ข้อมูลต่างๆ จาก iTunes บนคอมพิวเตอร์ ส่วนหูฟัง EarPod นั้นก็ยังคงไม่มีมาให้เช่นเคยครับ ใครที่ต้องการหูฟังในการฟังเพลงก็ต้องซื้อหูฟังต่างหากเช่นเดิม

มาถึงพระเอกของเรากันบ้าง เจ้า iPad Air นั่นเอง หลายคนท่าจะทราบกันมาอยู่แล้วว่า iPad Air รุ่นใหม่นี้ได้มีการตัดขอบทั้งสองด้านซ้ายขวาออก เพื่อให้เครื่องเล็กลงกว่าเดิม เหลือแค่ขอบบนกับขอบด้านล่างเท่านั้น แต่ขอบด้านข้างนั้นก็ไม่ได้ถึงกับตัดทิ้งไปหมดซะทีเดียว ยังมีพื้นที่เหลือประมาณ 1 นิ้วก้อยพอที่จะให้เราถือได้ โดยที่อุ้งมือจะไม่ไปสัมผัสจอ เมื่อเทียบขนาดกับ iPad รุ่นเดิมแล้ว ความกว้างจะหายไป 0.7 นิ้วเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าจะมีการตัดขอบด้านข้างของจอออก แต่การใช้โดยทั้วไปสามารถใช้งานถือแนวตั้งได้อย่างสะดวกอยู่ครับ เพียงแต่อาจจะไม่ได้มีขอบที่ใหญ่พอให้วางนิ้วโป้งได้เหมือนกับการถือแนวนอน (รูปภาพเปรียบเที่ยบกันกับ iPad 3)

ข้อสังเกตอื่นๆ

• หากใครที่ใช้ iPad 3 ที่ลง iOS 7 มาก่อน แล้วมาเล่น iPad Air จะรู้ส฿กว่าเครื่องเร็วขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย
• ทีมงานได้ลอง iOS 7.1 beta บน iPad Air แล้ว พบว่าทำงานได้ลื่นขึ้นกว่าเดิมครับ โดยเฉพาะการใช้ 5 นิ้วขยำปิดแอพ
• ใครที่ยังลังเลระหว่าง iPad Air กับ iPad mini อยากให้ลองเล่น iPad Air ตัวจริงดูก่อน ถึงจะไม่ได้เล็กเท่า แต่ก็พกพาสะดวกขึ้นกว่าเดิม
• ขอบด้านข้างหน้าเป็นอลูมิเนียมขัดเงาแบบเดียวกันกับขอบของ iPhone 5s เป็นรอยค่อนข้างง่าย
• ราตาของ iPad Air รุ่น Wi-Fi ในไทยแพงขึ้นกว่าเดิม 400-1900 บาท ส่วนรุ่น Cellular แพงขึ้นกว่าเดิม 900-2500 บาท แล้วแต่ความจุ
• เครื่องที่ถ่ายรูปรีวิวเป้นเครื่องที่ติดฟิล์มรอบตัวแล้ว ดังนั้นแสงและเงาของรูปที่ถ่ายออกมาอาจจะไม่เหมือนเครื่องจริงเล็กน้อย

สรุป

iPad Air รุ่นใหม่นี้เป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของ iPad เลยก็ว่าได้ ด้วยขนาดที่เล็กลง เบาลง บางลงกว่าเดิม ทำให้การพกพานั้นทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม การตัดขอบด้านข้างเครื่องออกไปก็ไม่ได้เป็นปัญหาในการใช้งานอย่างที่คิดไว้ ตอนแรก ถึงแม้ว่าเมื่อถือแนวตั้งแล้วอาจจะวางนิ้วโป้งไม่ได้ แต่ก็ยังใช้งานได้สะดวกอยู่ครับ ดังนั้นในเรื่องรูปของรูปทรงค่อนข้างเป็นอะไรที่น่าประทับใจเลยทีเดียว 

ในด้านอื่นๆ ของตัวเครื่องก็ได้มีการปรับปรุงด้วยเช่นกัน อย่างเช่นชิป A7 ใหม่ที่ทำงานรวดเร็ว รวมถึงมีการรองรับการทำงานแบบ 64-bit และรองรับ OpenGL ES 3.0 ซึ่งเมื่อในอนาคตมีแอพที่รองรับความสามารถเหล่านี้ ก็น่าจะยิ่งดึงความสามารถของชิป A7 ออกมาใช้งานได้มากขึ้น ถึงแม่ว่าการใช้งานทั่วไปที่ไม่เน้นเล่นเกมหนักๆ ความเร็วนั้นอาจจะไม่แตกต่างจาก iPad 4 มากนัก แต่เชื่อว่าชิป A7 นี้จะรองรับสิ่งที่จะมาในอนาคตอย่าง iOS8, iOS 9 ได้ดีกว่าครับ

สิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างของ iPad Air คือการที่เครื่องมีขนาดเล็กลง ทำให้แบตมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมตามไปด้วยนั้น แต่กลับไม่ทำให้ชั่วโมงการใช้งานของแบตเตอรี่ลดลงตามเลย ซึ่ง iPad Air รุ่นใหม่นี้ยังคงมีแบตที่อึดเหมือนเช่นรุ่นที่ผ่านๆ มา