ขอเล่าเรื่องราวประสบการณ์โลกทิพย์หลวงปู่จันทา ถาวโรนะครับ
หลวงปู่จันทา ถาวโร ช่วยแม่ในขุมนรกมืด ให้พ้นเวรกรรม
ผลบุญช่วยให้แม่พ้นจากนรกมืด
ตั้งแต่ออกบวช ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญไม่ลดละ เดินจงกรม ยืนภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้ว ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้แม่ผู้บังเกิดเกล้าทุกวัน
“ปุญญัง อุททิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอบุญจงไปช่วยเหลือแม่ของข้าพเจ้านะ ชื่อว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ดวงจิตเขานั้นไปสิงสถิตอยู่สถานที่ใด ไกลหรือใกล้นั้น ขอบุญจงไปช่วยเหลือ ให้พ้นจากทุกข์นั้น”
นั่นแหละ ก็อุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้น จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๕ พรรษา แม่ก็พ้นจากนรกมืดมาเกิดกับหลานสาว พออายุ ๒ ปี ก็พูดจาได้ความรู้เรื่อง
แม่ยายเขาเรียกใช้ “ อีหล้า ไปหยิบของมาให้แม่หน่อย ”
“ มึงอย่ามาเรียกกู อีหล้า กูเป็นแม่มึงนะ ”
“ เป็นแม่ได้อย่างไร เพิ่งเกิดมาได้ ๒ ปี ”
“ สมบัติร่างกายนี้ไม่ใช่แม่หรอก เป็นหลาน แต่ว่าใจของฉันนั้นเป็นแม่ของพวกท่าน ”
นั่นแหละ เขาก็เลยมานิมนต์ให้ไปซักไซ้ไต่ถามดู ก็เลยได้ความว่า เคยเป็นแม่ในชาติก่อน เมื่อถามว่า เป็นแม่นั้น มีบุตรกี่คน
เขาก็ตอบได้ว่า มีบุตร ๖คน คนที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, และ ๖ เขาก็ไล่ชื่อเสียงเรียงนามได้ทั้งหมด รวมทั้งสามี ภรรยา ญาติมิตรสายโลหิต ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนบ้าน เขาบอกได้ถูกต้องทุกอย่าง ตลอดจนเรื่องเรือกสวนไร่นานั้น ก็บอกได้ถูกต้อง รวมทั้งหลักฐาน เครื่องหมายต่างๆ ก็บอกได้ ไม่ผิด
แต่แล้วก็ยังไม่ลงเอยกันนะ จึงได้ถามเขาต่อไปอีกว่า
“หลวงพ่อ คิดถึงเจ้านั่นแหละ จึงได้ออกบวช แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ได้รับหรือไม่ ?”
เขาว่า “ได้รับ ได้รับแต่ตอนกลางคืน ๕ ทุ่ม ได้รับทุกคืน แต่ตอนเช้าไม่ได้รับ ไปอยู่ที่ไหนเล่า ? ” เขาต่อว่ากลับมาอีก
“ โอ๋... ตอนเช้าหลวงพ่อ ทำบุญน้อย พอตี 2 ก็ลุกขึ้นมาทุกวันแล้วนั่งสมาธิตั้งแต่นั้นไป จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า จากนั้นก็ไปทำกิจวัตร จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญไปให้ อุทิศให้เฉพาะตอนเย็น เพราะตอนเย็นเดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๕ ทุ่ม ทุกวัน แล้วก็หยุดยืน นั่งสมาธิ ไหว้พระ สวดมนต์ อุทิศส่วนบุญไปให้ เพราะตอนเย็นนั้น ได้บำเพ็ญบุญมาก ”
เขาว่า “ ถ้าได้ทั้งเช้าและเย็น ก็คงจะพ้นจากนรกมืดได้ เร็วกว่านี้ ”
ก็ถามเขาต่อไปว่า ” ไปอยู่นรกมืดนั้นเป็นอย่างไร? ”
เขาก็ว่า “เมื่อขาดใจแล้ว นายนิริยบาลมาคุมตัวไปฝากไว้ในนรกมืด ไม่มีแสงสว่างเลย มืดทั้งวันทั้งคึน ไม่ได้เเห็นแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์เลย”
“ ในนรกมีคนมากเท่าไร? ”
“โอ๋...ดวงวิญญาณในนรกมืดนั้นแน่นขนัด อัดแอกันอยู่เหมือนข้าวสารยัดกระสอบนั่นแหละ”
ทีนี้เมื่อพวกท่านอุทิศส่วนบุญไปให้ จ่ายมบาลก็ว่า
“นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ จงมารับเอาส่วนบุญ ที่ลูกบวชในศาสนาอุทิศมาให้ทุกวันคืน”
นั่นแหละ ฉันก็ดีใจ เมื่อรับเอาบุญทุกวันคืน ตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ ไปถึง ๒๕ พรรษา ก็เลยพ้นจากกรรมชั่วช้าลามกทั้งหลายทั้งปวงนั้น มาอยู่เหนืออำนาจการบังคับของจ่ายมบาล เพราะอำนาจของบุญนั้นตัดกระแสของบาปกรรมในนรกออกได้ เขาก็เลยปล่อยไปตามเรื่อง หมดกรรมเวรแล้ว ขอแม่เจ้าจงไปตามเรื่องเถิดจงไปเกิดที่เมืองมนุษย์ แล้วเขาก็เปิดประตูเหล็กให้ เสียงประตูดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง ได้เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้าก็ดีใจ แล้วก็หันหน้าไปร้องบอกลาพวกที่ยังอยู่ในนรกว่า
“พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอลาไปเกิดเมืองมนุษย์ก่อนนะ”
พวกที่เหลืออยู่ก็ร้องไห้กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนอึ่งอ่างในฤดูฝน ไปไหนไม่ได้ เพราะบาปกรรมรึงรัดผูกมัดไว้กับสถานที่นั้น บาปไม่อนุญาตให้ไป เพราะยังไม่หมดเขตเวรกรรม
จากนั้น จ่ายมบาลก็ว่า”ขอให้ไปดี โชคแม่มีแล้ว เพราะได้ลูกเป็นนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม ออกบวชบำเพ็ญบุญ ส่งมาให้ก็ดีมาก นับว่าหาได้ยากในโลกนี้”
นั่นแหละ ก็เห็นอำนาจของการบวชบำเพ็ญบุญ อุทิศส่วนบุญไปให้ แม่ไปตกนรกมืด บุญก็ไปช่วยเหลือให้มาเกิดในตระกูลเดิมได้ ก็หมดความห่วงใยอาลัยแล้ว ได้เห็นผลประจักษ์อย่างนั้น
เมื่อหลวงปู่จันทาบำเพ็ญเพียรเพื่อการรู้แจ้งอย่างยิ่งยวด
ตั้งแต่นั้นอาตมาก็ได้ความรู้เบื้องต้น ก็เลยตั้งสัจจะอีกว่า ต่อไปจะเอา ๑๐ วัน ๑๐ คืน จะยืน เดินนั่ง ไม่ยอมนอน ! อาตมาตั้งสัตยาธิษฐานต่อหน้าหลวงปู่ขาว ท่านบอกอาตมาว่า
เออ ! เอาเลย ข่มความเพียรกล้าหาญชาญชัย ไม่ว่าพระเณร เถนชี อุบาสกอุบาสิกา ไม่ห่วงอาลัยในชีวิตสังขารร่างกาย จะเป็นผู้รู้ธรรมเห็นธรรมได้เร็วเหมือนกับเดินทางลัด เท่าที่ผมเอง (หลวงปู่ขาว) ทำมาอย่างนี้ !
อาตมา (พระอาจารย์จันทา) ตั้งสัจจะแล้วก็ปฏิบัติธรรม ๑๐ วัน ๑๐ คืน ยืนก็มีแต่ทุกข์ เดินก็มีแต่ทุกข์ นั่งก็มีแต่ทุกข์ นอนไม่เอา (ไม่นอน)
ข้าวก็เว้นวันฉัน คือเว้น ๒ วันจึงฉัน ฉันข้าวแต่น้อย ทีนี้ทุกข์ก็เกิดขึ้นเพราะกายไม่ได้อาหาร
อาหารสำคัญนอกจากข้าวแล้วก็คือนอนนั่นแหละ ทั้ง ๒ อย่างนี้เป็นอาหารสำคัญของกาย !
ปฏิบัติกรรมฐานมาถึงคืนที่ ๗ จิตมันก็สงบ คือยืนภาวนาอยู่ ขณิกสมาธิเกิดขึ้นเฉียด ๆ พลันอุทกปีติได้เกิดขึ้น มีอาการขนพองสยองเกล้า และแสงสว่าง (โอภาส) ก็เกิดขึ้น ธรรมทั้ง ๓ อย่างนี้คอยจะเกิดอยู่เสมอ
ทีนี้ก็พิจารณาในสภาพร่างกายนี้ว่า เหมือนกับตอไม้ที่เขาตัดยอดไปแล้วมันตายแล้ว ไม่นานตอไม้ก็จะถูกแดดเผาบ้าง ฝนกรำบ้าง ลมพัดบ้าง ก็จะผุพังลงเป็นดิน ร่างกายของเราก็ฉันนั้น ไม่นานก็จะแก่ แก่แล้วก็จะเจ็บ เจ็บแล้วก็จะตาย ตายแล้วก็ลงนอนทับแผ่นดิน ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสาร
อาตมาพิจารณาแล้วพิจารณาเล่า จนปัสสาวะไหลออกมาไม่รู้สึกตัว
อันนี้แหละคือทุกข์มันเผา ธรรมทั้ง ๓ ครอบงำไว้ ใจเพลิดเพลินในการพิจารณาธรรม ปัสสาวะไหลออกมาก็ไม่รู้ !
ธรรมะคือร่างกาย ท่านสอนให้พิจารณาให้เห็นว่า ร่างกายนี้เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทั้งตนเองและบุคคลอื่นก็เหมือนกันหมด
พิจารณาซ้ำซากอยู่เช่นนี้ ยกเว้นแต่เวลาหลับ (หลับในสมาธิยืน เดิน นั่ง คือไม่ยอมเอนหลังลงแตะพื้น) น้อมลงสู่สัจธรรมทั้ง ๔ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ทั้งสิ้นและบุคคลอื่น พิจารณาอยู่อย่างนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่ลดละ ไม่เกียจคร้าน
ล่วงเข้าคืนที่ ๘ ทีนี้ทุกข์แสนทุกข์ แต่ใจไม่ไปไหน ใจอยู่กับกาย พิจารณากายอยู่อย่างนั้น
เห็นว่า กาเยกายานุปัสสี วิหรติ กายก็สักแต่ว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลเราเขา ! พิจารณาแล้วพิจารณาเล่าอยู่อย่างนี้ ถึงคืนที่ ๘ จิตก็รวมเข้าเป็นมรรคสมังคี มีอารมณ์เดียว สติปัญญาทับกายกับจิตแน่น
ไม่นานจิตก็วางพุทโธ แล้วก็วางลม วางร่างกาย เวทนามีเท่าไรก็หายไปหมด จิตร่วมลงสู่ความสงบ
สติกับจิตตามทันกันอยู่ ไม่ว่าช้าหรือเร็ว พอจิตลงไปถึงฐานแล้ว แสงสว่าง (โอภาส) ก็เกิดขึ้นเหมือนกับกดสวิตช์ไฟฟ้า กลางคืนเหมือนกลางวัน ร่างกายไม่รู้หายไปไหน ข้าวของที่มีอยู่หายไปหมด
ความเจ็บปวดจะมากเท่าใดก็หายหมด เพราะร่างกายไม่มีแล้ว
นี้คืออำนาจความสงบ จิตเป็นสมาธิมันครอบงำได้หมด
พอจิตถอนออก ก็ยกจิตขึ้นสู่ธรรมทั้ง ๔ เกิดก็ทุกข์ แก่ก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์ พิจารณาอนุโลมปฏิโลมทั้งภายในภายนอก คือตัวเราเองและคนอื่นเหมือนกันหมด ไม่ช้าก็เกิดนิมิตเห็นตัวเองตายลงต่อหน้า
ร่างของตัวเองนอนหงายอ้าปาก น้ำเน่าน้ำหนองไหล หนังก็แตกออก ทั้งร่างกายก็เปื่อยเน่า น่าเกลียดสกปรก ไม่นานก็เหลือแต่โครงกระดูก ก็ใช้สติเพ่งดูอยู่ พอเพ่งนานเข้าโครงกระดูกก็สาบสูญกลายเป็นดิน เหลืออยู่แต่โลกว่าง ๆ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา
เมื่อเห็นนิมิตอย่างนั้น ก็น้อมจิตเข้ามาสอนจิตว่า นี้แหละเราเทียวเกิดเทียวตาย อยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ก็ล้วนแต่มาได้สังขารชาติภพเป็นของที่แก่ ที่เจ็บ ที่ตาย แล้วก็สูญลงดินหมด
นี้แหละอย่าได้ประมาท อย่าได้หลงยึดเอาว่า สังขารนี้เป็นตัวตนเราเขา มิฉะนั้นจะเป็นเครื่องปิดบังทุกข์ ไม่ให้เห็นโทษเห็นภัยในความคิด เกิด แก่ เจ็บ ตาย จงเห็นว่าไม่มีสาระแก่นสาร ไม่ยั่งยืน ไม่มีความหมาย
เมื่อสอนจิตอย่างนี้ จิตก็รู้เห็นตาม เกิดสังเวชสลดน้ำตาไหลเพราะเราหนอเป็นเหตุแห่งทุกข์ ที่เราเป็นเหตุก็เพราะตัณหาความอยากและยึดถือข้อหนึ่ง เพราะเราประมาทอีกข้อหนึ่ง
ได้พบเห็นนักปราชญ์เจ้าทั้งหลาย ที่อุบัติมาในโลกก็ไม่ได้ยินดี มัวแต่สะสมอารมณ์ของโลก จะยากจนหรือมั่งมีก็ตามที เรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้าควรให้เกิดบุญเกิดกุศล ! มรรคผล ธรรมวิเศษนั้นไม่ทำหรือทำก็แต่น้อย ทำบาปหรืออารมณ์ของโลกนั้นมากกว่า ดังนั้นจึงต้องท่องเที่ยวเกิด ๆ ดับ ๆ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่อย่างนี้ !
ต่อนั้นไปก็พิจารณาธรรมะนั้น ๆ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เกิดนิมิตต่าง ๆ ก็จึงกำหนดไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า เวียนเกิดเวียนตาย ภพน้อยภพใหญ่ ภายในภายนอก สัตว์ในโลก ๓ หนีไปไม่พ้น จะพ้นได้ก็แต่นักปราชญ์เจ้าทั้งหลายผู้ไม่ประมาท ไม่ลืมตน มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ท่านเห็นว่า เทียวเกิดเทียวตายเป็นทุกข์โทษภัยใหญ่ ท่านจึงทำความเพียรชำระสนิมคือ โลภ โกรธ หลง อวิชชา ตัณหา ออกจากใจจนได้ ไปพระนิพพาน โลก๓ ท่านไม่กลับมาอีก
อาตมาพิจารณาสอนใจอย่างนั้น พิจารณาโดยอนุโลมปฏิโลมจนรุ่งแจ้ง
(ที่มา หนังสือตายแล้วไปไหนเล่มที่26) |