www.geocities.com/devil_140323
   
September 13, 2007
   
ยินดีต้อนรับสู่เวปไซด์ devil_140323 ขอให้มีความสุขทุกวันทุกคืน ร่ำรวย เฮง เฮง เฮง สุขสรรค์ตลอดปีตลอดไปนะค้าาาา
ความเชื่อ
 
ถาม - ตอบ ธรรมะ
นิพพานชาตินี้ โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ประสบการณ์โลกทิพย์ โดย หลวงปู่จันทา ถาวโร
ผีกินผี
พระนิพพาน โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
พระนิพพานเป็นแดนทิพย์วิเศษ
 
 
 
 
 
 
 
 
 
ถาม-ตอบ เกี่ยวกับพระนิพพาน (1)


ถาม : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน กราบทูลถามองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ที่พระจุฬามณีชั้นดาวดึงส์ว่า คนที่ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานจะใคร่ครวญอย่างไรจึงจะง่ายที่สุด สั้นที่สุดพระพุทธเจ้าข้า ?

ตอบ : เจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้ จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินก็ไม่มี ญาติ เพื่อน ลูกหลาน เหลนก็ไม่มี เพราะทุกอย่างที่กล่าวมามีสภาพพังหมด เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระ คือ ร่างกายพังแล้ว เราจะไปนิพพาน เมื่อความป่วยไข้ปรากฎ จงดีใจว่าภาวะที่เราจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานมาถึงแล้ว เราสิ้นทุกข์แล้ว ร่างกายเป็นเพียงเศษธุลีที่เหม็นเน่า มีความสกปรกโสโครก ทรุดโทรม เดินไปหาความเสื่อม แตกสลายทุกขณะ คิดไว้อย่างนี้ทุกวัน จิตจะชิน จะเห็นเหตุผล เมื่อตาย อารมณ์จะสบาย แล้วจะเข้าสู่พระนิพพานได้ทันที

พระพุทธองค์ทรงสอนต่อไปว่า ให้ลูกหลานของเธอทุกคน หรือ บริษัทของเธอทุกคน เขาตั้งใจอย่างที่ฉันพูดนะ การไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดีเป็นของง่าย ไม่ใช่ของยากแบบที่นักปราชญ์ในโลกเขาพูดกันเวลานี้ เวลานี้นักปราชญ์ทั้งหลายนิยมความยาก สิ่งไหนก็ตามที่มันยาก เขาถือว่าดี เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง แต่ว่าฉันเห็นว่านั่นไม่ถูกต้อง ถ้าตามคติของฉัน ฉันว่าไม่ถูก เพราะสอนคนหรือพูดให้คนเข้าใจง่ายที่สุด และได้ผลมากที่สุด อันนี้ดีกว่า ดีกว่าหาวิธีที่ยากที่สุด แล้วได้ผลน้อยที่สุด อย่างนี้ไม่ดี ไม่ใช่ความประสงค์ของฉัน สัมภเกสี(ชื่อของหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่พระพุทธองค์ทรงเรียก) เตือนบริษัทและลูกหลานของเธออย่างนี้นะ ว่าให้ทุกคนรู้ตัวแล้วว่ามีวิมานอยู่บนชั้นกามาวจร เมื่อถึงเวลาเขาทำชั่วอะไรมาก็ช่างเถอะ เวลาก่อนนอนให้นึกถึงความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายปล่อยมันไปนึกถึงแต่ความดี แล้วเอาใจนี้จับไว้ว่านี่เรามีวิมานแก้ว 7 ประการไว้บนสวรรค์ชั้นกามาวจร จากทำบุญ วิหารทาน สังฆทาน และธรรมทาน เมื่อเวลาที่เราตาย เราจะไปอยู่วิมานนั้น ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องเอาอะไร นึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะนึกถึงพระพุทธก็ได้ พระสงฆ์ก็ได้ สิ่งก่อสร้างก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจ แล้วตั้งใจว่าเราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีอยู่แล้ว เพียงเท่านี้นะ ถ้าเขาตาย เขาจะถึงสวรรค์ชั้นกามาวจรทันที

พวกที่จะไปพรหมโลกก็เป็นของไม่ยากนะ สัมภเกสี บอกเขานะคนที่ต้องการไปพรหมโลก คืนหนึ่ง ให้สร้างความดี 10 นาที ตอนกลางวันมันอาจจะเลว จะเอาดีกันตอนกลางคืน นั่งนับลมหายใจเข้าออกก็ตาม นั่งก็ได้ นอนก็ได้ ยืนเดินก็ได้ นับลมหายใจเข้าออกก็ได้ หรือจะนึกถึงกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ได้ เพียง 10 นาที ให้รู้ลมหายใจเข้าออกเท่านี้ก็พอ เวลาตายแล้วก็เป็นพรหมแน่

ทีนี้คนไหนที่ตังใจจะไปนิพพาน ก็เป็นของไม่ยาก สัมภเกสี ให้เขาคิดว่าโลกนี้ทั้งหมดไม่มีอะไรที่เรารักเราชอบ เพราะเต็มไปด้วยความทุกข์ยากทรมาน ใคร่ครวญหาความจริงในโลก จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มันมีสภาพคงตัวได้ตลอดกาลหรือไม่ ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลงสลายตัว ก็ถือว่าโลกทั้งโลกหาความดีไม่ได้ แล้วก็หันเข้ามาคิดถึงกายของตัวว่า กายของเรามันยังจะตาย ยังจะพัง เรายังปรารถนาอะไรภายนอกอีก เราไม่ต้องการทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เราจะไปพระนิพพานแดนไม่ตาย เป็นสุขตลอดกาล ที่พระพุทธองค์ไปอยู่แดนพระนิพพานนั้น เขาคิดเท่านี้นะ เพียงคืนละ 10 นาทีนะ สัมภเกสีนะ ลูกหลานของเธอจะพ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิ อย่างน้อยไปกามาวจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไปพรหมโลก อย่างดีก็ไปพระนิพพาน
ถาม-ตอบ เกี่ยวกับพระนิพพาน (2)
ผู้ถาม : เกิดมาแล้วทำไมจึงต้องตายครับ…?
หลวงพ่อ : เพราะอยากตาย ไอ้คนอยากเกิดก็อยากตายด้วยใช่ไหม…เกิดแล้วมันก็ต้องตาย เพราะธรรมดาเราฝืนมันไม่ได้ ทีนี้ถ้าเราไม่ต้องการตาย เราก็ไม่ต้องเกิด

ผู้ถาม : ที่นิพพานไม่มีการเกิดใช่ไหมครับ จึงไม่มีการตาย…?
หลวงพ่อ : อันนี้เคยมีพระหรือพราหมณ์ถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานจะไม่มีการเกิดก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าเกิดก็ต้องเกิด ถ้าจะว่าไม่เกิด แต่สภาวะมันมีอยู่ ตอนแรกฉันอ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็เลยย่องไปถามท่าน ฉะนั้นนิพพานควรเรียกว่าอะไร ท่านบอกว่าควรจะเรียก "ทิพย์พิเศษ" ที่ไม่มีการเคลื่อน เทวดาหรือพรหมยังมีการเคลื่อน ที่เรียกว่า "จุติ" จุติ แปลว่า เคลื่อน ไอ้ศัพท์ที่ว่าตายนี่ พระพุทธเจ้าท่านไม่เรียก ท่านเรียก กาลัง กัตวา ถึงวาระแล้ว ถึงกาลเวลาแล้ว ท่านไม่เรียกว่าตาย ตาย นี่ มรณะ ตามศัพท์ของบาลีไม่มีคำว่ามรณะ ท่านเรียกว่า กาลัง กัตวา แปลว่าถึงวาระที่จะต้องไปจากร่างกายนี้ ร่างกายนี้มันพังมันไม่ยอมทำงาน

ผู้ถาม : ขอหลวงพ่อโปรดอธิบายเรื่องนิพพาน ให้ผมเข้าใจด้วยครับ
หลวงพ่อ : คำว่า นิพพาน เหรอ…คุณต้องการรู้เรื่องนิพพานไปทำไม…?

ผู้ถาม : (หัวเราะ) เอาไว้ประดับความรู้ครับ
หลวงพ่อ : เอาไว้ประดับความรู้….ดี คำว่า นิพพานเป็นของง่ายเป็นของไม่ยาก นิพพานนี่เขาแปลว่า ดับ นะคุณนะ ถ้าจะถามว่าดับอะไร ก็ขอตอบว่า ดับความชั่ว คนที่จะถึงนิพพานได้ต้องไม่มีความชั่ว ๓ อย่าง คือ
๑. ไม่ชั่วทางกาย
๒. ไม่ชั่วทางวาจา
๓. ไม่ชั่วทางใจ
ถ้าทุกคนดับความชั่วได้หมด บุคคลนั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

ผู้ถาม : แต่ผมเคยได้ยินมาว่า นิพพาน แปลว่า ดับไปเลย ไม่เหลืออะไรเลยนี่ครับ
หลวงพ่อ : ความจริงคุณจะต้องรู้ว่าอะไรดับ คำว่านิพพานแปลว่าดับ ดับทีแรกคือดับกิเลส ดับที่สองคือดับขันธ์ ๕ แต่ว่าตามพระบาลีไม่ได้บอกว่า จิตดับ
                ปัญหาของคุณที่ถามนี่ เหมือนกับปัญหาของพระที่ถามพระพุทธเจ้าเคยถามมาแล้ว คือ ท่านผู้นี้มีนามว่า พระโมกขราช ท่านถามพระพุทธเจ้าว่า"นิพพานมีสภาพสูญ ใช่ไหม…พระพุทธเจ้าข้า" หมายความว่า เมื่อถึงนิพพานแล้วก็ดับสูญ มีสภาพคล้ายกับควันไฟที่ลอยไปในอากาศ ไม่มีที่เกาะ ไม่มีที่อยู่ อย่างนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูตรัสว่า "โมกขราช เรากล่าวว่า นิพพานนั้นหมายถึงกิเลสดับ และขันธ์ ๕ ดับ"พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่า จิตดับทีนี้ถ้าหากว่าคุณจะศึกษาเรื่องนิพพาน ถ้าเราจะพูดกันไปกี่ร้อยปี มันก็ไม่จบ ฉะนั้น ถ้าต้องการจะรู้เรื่องพระนิพพานจริงๆ คุณจะต้อง
- เป็นคนมีศีลบริสุทธิ์ เป็นอันดับแรก
- เป็นผู้ทรงฌานสมาบัติ
- ในขณะที่ทรงฌานสมาบัติได้แล้ว คุณจะต้องทำจิตของตนให้เข้าถึงวิปัสสนาญาณ ที่เรียกกันว่าสังขารุเปกขาญาณ เมื่อจิตเข้าถึงสังขารุเปกขาญาณแล้ว ก็ต้องชำระกิเลสด้วยการตัดสังโยชน์ ๓ เบื้องต้น คือ
๑. ทำลายสักกายทิฏฐิ
๒. ทำลายวิจิกิจฉา คือ ความสงสัยให้หมดไป
๓. สีลัพพตปรามาส ทรงศีลให้บริสุทธิ์
๔. มีอารมณ์จิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ที่เราเรียกกันว่า โครตภูญาณ
ถ้ากำลังใจของคุณทำได้อย่างนี้ เมื่อจิตเข้าถึงโครตภูญาณ คุณจะทราบว่า คำว่าดับของนิพพานนั้นก็คือ
๑. ดับกิเลส ในขณะที่มีชีวิตอยู่
๒. ดับขันธ์ ๕ หรือขันธ์ ๕ ดับ
๓. อารมณ์จิตที่บริสุทธิ์ไม่ได้ดับไปด้วย
คำว่าพระนิพพาน ยังมีจุดที่เป็นอยู่อันหนึ่ง ที่เขาเรียกว่าเป็นทิพย์พิเศษ พ้นจากอำนาจของวัฏฏะ

นิพพานชาตินี้ โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

นิพพานชาตินี้ โดยศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
1. อธิษฐานตื่นนอนเช้าว่า วันนี้ลูกจะทำความดีให้มากที่สุด ตายเมื่อไร ขอไปนิพพานชาตินี้
2. ทำบุญวันละบาท ขอถวายเป็นสังฆทาน ขอนิพพานชาตินี้ และขอให้ลูกคล่องตัวทุก ๆ อย่าง
3. รักษาศีล 5 หรือ ศีล 8 ให้ครบทุกข้อ จงขอบารมีพระพุทธเจ้ามาเป็นกำลังใจในการรักษาศีล
4. ภาวนามีให้เลือกดังนี้ แบบฝึกมโนมยิทธิ หายใจเข้า นะมะ หายใจออก พะธะ หรือหายใจเข้า พุธ หายใจออก โธ หรือ หายใจเข้า นิพพาน หายใจออก นิพพาน
5. นิมิต ฝึกจำพระพุทธรูปที่ตนชอบ 1 องค์ หลับตาและลืมตา ต้องจำภาพพระพุทธรูปให้ได้
6. ขยายนิมิต ให้ออกไปกลางแจ้ง ขอให้พระพุทธเจ้าขยายให้เต็มท้องฟ้า แล้วคลุมตัวเรา ร้านและกิจการของเรา
7. เรียกบารมี ผลบุญใดที่ทำไว้แล้วทั้งหมด จงมาสนองตัวข้าพเจ้า ณ กาลบัดนี้เถิด
8. ขอขมาพระรัตนตรัยทุกวัน ข้าพระพุทธเจ้า ขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัย ขอได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า เพื่อให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบัน ณ กาลบัดนี้เถิด
9. พิจารณา ให้ดูร่างกายของตนว่า สกปรก โสโครก เหม็นเน่า อืดพอง น้ำเหลืองเละเหมือนถุงห่อหุ้มของเน่าเหม็น มีร่างกายจึงเป็นทุกข์เพราะต้องแก่-เจ็บ แล้วก็ตายสลายหมด อนิจจา… พอหนังกำพร้าฉีกขาด น้ำเลือดน้ำหนองหลั่งไหล เหม็นคาวน่าคลื่นไส้อวกแตก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย สำหรับร่างกายอันแสนโสโครก !
10. ทาน-ศีล-ภาวนา จะน้อยหรือมาก ให้ทำด้วยความเต็มใจ เพื่อเข้าพระนิพพานชาตินี้
11. ขอยืนยันว่าเราเข้านิพพานชาตินี้ได้เพราะ จิตนึกสิ่งใดไว้เสมอ ๆ ตายแล้วจะไปที่นั้นแล
12. พระพุทธเจ้า 5 แสน 1 หมื่น 2 พัน 28 พระองค์, พระปัจเจกพระพุทธเจ้านับเป็นล้าน ๆ พระอรหันต์เป็นแสนๆ โกฎ อยู่ครบที่เมืองนิพพาน คอยสงเคราะห์คนทำความดีพิสูจน์ได้
13. นิพพานสูญ สูญแปลว่า ว่างจากกิเลสทั้งหมด แต่มีสภาพเป็นทิพย์พิเศษบริสุทธิ์ผุดผ่อง อยู่ที่นั่นเป็นอมตะ ถ้าปฏิบัติกับครูผู้ทำได้ทำถึง ปัญหาไม่มี อย่าห่วงตำรา อย่าบ้าความรู้ปริยัติ จงถอดหัวโขนสักครู่ แล้วไปฝึกกับครู ลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
14. คบผู้รู้นิพพาน สอนนิพพาน ทำทุก ๆ อย่างเพื่อพระนิพพานชาตินี้ จะมีผลดีแก่ตนได้มรรคผลชาตินี้แล แต่…..ถ้าคบนักเปรต ปฏิเสธพระนิพพาน อเวจีครับท่าน แย่งกันไปเยอะ
15. แผ่เมตตาก่อนปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตาบารมีจิตให้แด่ท่านทั้งหลาย และสรรพวิญญานทั้งปวง ขอจงอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน จงมีความสุข พ้นทุกข์ในชาตินี้ และให้เข้าถึงที่นิพพานเทอญ
16. คำอาราธนาเจริญกรรมฐาน ลูกขอบูชา และขออาราธนาบารมี พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย บิดามารดา ครูบาอาจารย์ พรหมเทวดาทั้งหมด ขอได้โปรดสงเคราะห์ให้ได้รู้ ได้เห็นพระนิพพานตามความเป็นจริง ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

17. อุทิศส่วนกุศล ขออุทิศส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญมาแล้วนี้ ถวายแด่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ พรหมเทวดา มนุษย์ทั้งหลาย อบายภูมิ 4 เจ้ากรรมนายเวร สรรพวิญญานทั้งหมด จงโมทนา จงมีความสุข พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ก้าวล่วงถึงพระนิพพาน ขอพญายมราชจงเป็นสักขีพยานการเข้าถึงนิพพาน ของข้าพเจ้าในชาตินี้ด้วยเถิด

(จากแผ่นคำสอนที่แจกโดยคณะท่านอาจารย์ยกทรง)

ประสบการณ์โลกทิพย์ โดย หลวงปู่จันทา ถาวโร

ขอเล่าเรื่องราวประสบการณ์โลกทิพย์หลวงปู่จันทา ถาวโรนะครับ
หลวงปู่จันทา ถาวโร ช่วยแม่ในขุมนรกมืด ให้พ้นเวรกรรม
ผลบุญช่วยให้แม่พ้นจากนรกมืด

ตั้งแต่ออกบวช ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญไม่ลดละ เดินจงกรม ยืนภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้ว ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้แม่ผู้บังเกิดเกล้าทุกวัน

“ปุญญัง อุททิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ ขอบุญจงไปช่วยเหลือแม่ของข้าพเจ้านะ ชื่อว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ ดวงจิตเขานั้นไปสิงสถิตอยู่สถานที่ใด ไกลหรือใกล้นั้น ขอบุญจงไปช่วยเหลือ ให้พ้นจากทุกข์นั้น”
นั่นแหละ ก็อุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้น จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๕ พรรษา แม่ก็พ้นจากนรกมืดมาเกิดกับหลานสาว พออายุ ๒ ปี ก็พูดจาได้ความรู้เรื่อง

แม่ยายเขาเรียกใช้ “ อีหล้า ไปหยิบของมาให้แม่หน่อย ”
“ มึงอย่ามาเรียกกู อีหล้า กูเป็นแม่มึงนะ ”
“ เป็นแม่ได้อย่างไร เพิ่งเกิดมาได้ ๒ ปี ”
“ สมบัติร่างกายนี้ไม่ใช่แม่หรอก เป็นหลาน แต่ว่าใจของฉันนั้นเป็นแม่ของพวกท่าน ”

นั่นแหละ เขาก็เลยมานิมนต์ให้ไปซักไซ้ไต่ถามดู ก็เลยได้ความว่า เคยเป็นแม่ในชาติก่อน เมื่อถามว่า เป็นแม่นั้น มีบุตรกี่คน

เขาก็ตอบได้ว่า มีบุตร ๖คน คนที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, และ ๖ เขาก็ไล่ชื่อเสียงเรียงนามได้ทั้งหมด รวมทั้งสามี ภรรยา ญาติมิตรสายโลหิต ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนบ้าน เขาบอกได้ถูกต้องทุกอย่าง ตลอดจนเรื่องเรือกสวนไร่นานั้น ก็บอกได้ถูกต้อง รวมทั้งหลักฐาน เครื่องหมายต่างๆ ก็บอกได้ ไม่ผิด
แต่แล้วก็ยังไม่ลงเอยกันนะ จึงได้ถามเขาต่อไปอีกว่า
“หลวงพ่อ คิดถึงเจ้านั่นแหละ จึงได้ออกบวช แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ได้รับหรือไม่ ?”

เขาว่า “ได้รับ ได้รับแต่ตอนกลางคืน ๕ ทุ่ม ได้รับทุกคืน แต่ตอนเช้าไม่ได้รับ ไปอยู่ที่ไหนเล่า ? ” เขาต่อว่ากลับมาอีก

“ โอ๋... ตอนเช้าหลวงพ่อ ทำบุญน้อย พอตี 2 ก็ลุกขึ้นมาทุกวันแล้วนั่งสมาธิตั้งแต่นั้นไป จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า จากนั้นก็ไปทำกิจวัตร จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญไปให้ อุทิศให้เฉพาะตอนเย็น เพราะตอนเย็นเดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๕ ทุ่ม ทุกวัน แล้วก็หยุดยืน นั่งสมาธิ ไหว้พระ สวดมนต์ อุทิศส่วนบุญไปให้ เพราะตอนเย็นนั้น ได้บำเพ็ญบุญมาก ”

เขาว่า “ ถ้าได้ทั้งเช้าและเย็น ก็คงจะพ้นจากนรกมืดได้ เร็วกว่านี้ ”
ก็ถามเขาต่อไปว่า ” ไปอยู่นรกมืดนั้นเป็นอย่างไร? ”
เขาก็ว่า “เมื่อขาดใจแล้ว นายนิริยบาลมาคุมตัวไปฝากไว้ในนรกมืด ไม่มีแสงสว่างเลย มืดทั้งวันทั้งคึน ไม่ได้เเห็นแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์เลย”
“ ในนรกมีคนมากเท่าไร? ”

“โอ๋...ดวงวิญญาณในนรกมืดนั้นแน่นขนัด อัดแอกันอยู่เหมือนข้าวสารยัดกระสอบนั่นแหละ”
ทีนี้เมื่อพวกท่านอุทิศส่วนบุญไปให้ จ่ายมบาลก็ว่า
“นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ จงมารับเอาส่วนบุญ ที่ลูกบวชในศาสนาอุทิศมาให้ทุกวันคืน”

นั่นแหละ ฉันก็ดีใจ เมื่อรับเอาบุญทุกวันคืน ตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ ไปถึง ๒๕ พรรษา ก็เลยพ้นจากกรรมชั่วช้าลามกทั้งหลายทั้งปวงนั้น มาอยู่เหนืออำนาจการบังคับของจ่ายมบาล เพราะอำนาจของบุญนั้นตัดกระแสของบาปกรรมในนรกออกได้ เขาก็เลยปล่อยไปตามเรื่อง หมดกรรมเวรแล้ว ขอแม่เจ้าจงไปตามเรื่องเถิดจงไปเกิดที่เมืองมนุษย์ แล้วเขาก็เปิดประตูเหล็กให้ เสียงประตูดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง ได้เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้าก็ดีใจ แล้วก็หันหน้าไปร้องบอกลาพวกที่ยังอยู่ในนรกว่า
“พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอลาไปเกิดเมืองมนุษย์ก่อนนะ”
พวกที่เหลืออยู่ก็ร้องไห้กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนอึ่งอ่างในฤดูฝน ไปไหนไม่ได้ เพราะบาปกรรมรึงรัดผูกมัดไว้กับสถานที่นั้น บาปไม่อนุญาตให้ไป เพราะยังไม่หมดเขตเวรกรรม
จากนั้น จ่ายมบาลก็ว่า”ขอให้ไปดี โชคแม่มีแล้ว เพราะได้ลูกเป็นนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม ออกบวชบำเพ็ญบุญ ส่งมาให้ก็ดีมาก นับว่าหาได้ยากในโลกนี้”

นั่นแหละ ก็เห็นอำนาจของการบวชบำเพ็ญบุญ อุทิศส่วนบุญไปให้ แม่ไปตกนรกมืด บุญก็ไปช่วยเหลือให้มาเกิดในตระกูลเดิมได้ ก็หมดความห่วงใยอาลัยแล้ว ได้เห็นผลประจักษ์อย่างนั้น

 

 

เมื่อหลวงปู่จันทาบำเพ็ญเพียรเพื่อการรู้แจ้งอย่างยิ่งยวด

ตั้งแต่นั้นอาตมาก็ได้ความรู้เบื้องต้น ก็เลยตั้งสัจจะอีกว่า ต่อไปจะเอา ๑๐ วัน ๑๐ คืน จะยืน เดินนั่ง ไม่ยอมนอน ! อาตมาตั้งสัตยาธิษฐานต่อหน้าหลวงปู่ขาว ท่านบอกอาตมาว่า
เออ ! เอาเลย ข่มความเพียรกล้าหาญชาญชัย ไม่ว่าพระเณร เถนชี อุบาสกอุบาสิกา ไม่ห่วงอาลัยในชีวิตสังขารร่างกาย จะเป็นผู้รู้ธรรมเห็นธรรมได้เร็วเหมือนกับเดินทางลัด เท่าที่ผมเอง (หลวงปู่ขาว) ทำมาอย่างนี้ !
อาตมา (พระอาจารย์จันทา) ตั้งสัจจะแล้วก็ปฏิบัติธรรม ๑๐ วัน ๑๐ คืน ยืนก็มีแต่ทุกข์ เดินก็มีแต่ทุกข์ นั่งก็มีแต่ทุกข์ นอนไม่เอา (ไม่นอน)
ข้าวก็เว้นวันฉัน คือเว้น ๒ วันจึงฉัน ฉันข้าวแต่น้อย ทีนี้ทุกข์ก็เกิดขึ้นเพราะกายไม่ได้อาหาร
อาหารสำคัญนอกจากข้าวแล้วก็คือนอนนั่นแหละ ทั้ง ๒ อย่างนี้เป็นอาหารสำคัญของกาย !
ปฏิบัติกรรมฐานมาถึงคืนที่ ๗ จิตมันก็สงบ คือยืนภาวนาอยู่ ขณิกสมาธิเกิดขึ้นเฉียด ๆ พลันอุทกปีติได้เกิดขึ้น มีอาการขนพองสยองเกล้า และแสงสว่าง (โอภาส) ก็เกิดขึ้น ธรรมทั้ง ๓ อย่างนี้คอยจะเกิดอยู่เสมอ
ทีนี้ก็พิจารณาในสภาพร่างกายนี้ว่า เหมือนกับตอไม้ที่เขาตัดยอดไปแล้วมันตายแล้ว ไม่นานตอไม้ก็จะถูกแดดเผาบ้าง ฝนกรำบ้าง ลมพัดบ้าง ก็จะผุพังลงเป็นดิน ร่างกายของเราก็ฉันนั้น ไม่นานก็จะแก่ แก่แล้วก็จะเจ็บ เจ็บแล้วก็จะตาย ตายแล้วก็ลงนอนทับแผ่นดิน ไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสาร
อาตมาพิจารณาแล้วพิจารณาเล่า จนปัสสาวะไหลออกมาไม่รู้สึกตัว
อันนี้แหละคือทุกข์มันเผา ธรรมทั้ง ๓ ครอบงำไว้ ใจเพลิดเพลินในการพิจารณาธรรม ปัสสาวะไหลออกมาก็ไม่รู้ !
ธรรมะคือร่างกาย ท่านสอนให้พิจารณาให้เห็นว่า ร่างกายนี้เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทั้งตนเองและบุคคลอื่นก็เหมือนกันหมด
พิจารณาซ้ำซากอยู่เช่นนี้ ยกเว้นแต่เวลาหลับ (หลับในสมาธิยืน เดิน นั่ง คือไม่ยอมเอนหลังลงแตะพื้น) น้อมลงสู่สัจธรรมทั้ง ๔ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ทั้งสิ้นและบุคคลอื่น พิจารณาอยู่อย่างนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่ลดละ ไม่เกียจคร้าน
ล่วงเข้าคืนที่ ๘ ทีนี้ทุกข์แสนทุกข์ แต่ใจไม่ไปไหน ใจอยู่กับกาย พิจารณากายอยู่อย่างนั้น
เห็นว่า กาเยกายานุปัสสี วิหรติ กายก็สักแต่ว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลเราเขา ! พิจารณาแล้วพิจารณาเล่าอยู่อย่างนี้ ถึงคืนที่ ๘ จิตก็รวมเข้าเป็นมรรคสมังคี มีอารมณ์เดียว สติปัญญาทับกายกับจิตแน่น
ไม่นานจิตก็วางพุทโธ แล้วก็วางลม วางร่างกาย เวทนามีเท่าไรก็หายไปหมด จิตร่วมลงสู่ความสงบ
สติกับจิตตามทันกันอยู่ ไม่ว่าช้าหรือเร็ว พอจิตลงไปถึงฐานแล้ว แสงสว่าง (โอภาส) ก็เกิดขึ้นเหมือนกับกดสวิตช์ไฟฟ้า กลางคืนเหมือนกลางวัน ร่างกายไม่รู้หายไปไหน ข้าวของที่มีอยู่หายไปหมด
ความเจ็บปวดจะมากเท่าใดก็หายหมด เพราะร่างกายไม่มีแล้ว
นี้คืออำนาจความสงบ จิตเป็นสมาธิมันครอบงำได้หมด
พอจิตถอนออก ก็ยกจิตขึ้นสู่ธรรมทั้ง ๔ เกิดก็ทุกข์ แก่ก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์ พิจารณาอนุโลมปฏิโลมทั้งภายในภายนอก คือตัวเราเองและคนอื่นเหมือนกันหมด ไม่ช้าก็เกิดนิมิตเห็นตัวเองตายลงต่อหน้า
ร่างของตัวเองนอนหงายอ้าปาก น้ำเน่าน้ำหนองไหล หนังก็แตกออก ทั้งร่างกายก็เปื่อยเน่า น่าเกลียดสกปรก ไม่นานก็เหลือแต่โครงกระดูก ก็ใช้สติเพ่งดูอยู่ พอเพ่งนานเข้าโครงกระดูกก็สาบสูญกลายเป็นดิน เหลืออยู่แต่โลกว่าง ๆ ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา
เมื่อเห็นนิมิตอย่างนั้น ก็น้อมจิตเข้ามาสอนจิตว่า นี้แหละเราเทียวเกิดเทียวตาย อยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ก็ล้วนแต่มาได้สังขารชาติภพเป็นของที่แก่ ที่เจ็บ ที่ตาย แล้วก็สูญลงดินหมด
นี้แหละอย่าได้ประมาท อย่าได้หลงยึดเอาว่า สังขารนี้เป็นตัวตนเราเขา มิฉะนั้นจะเป็นเครื่องปิดบังทุกข์ ไม่ให้เห็นโทษเห็นภัยในความคิด เกิด แก่ เจ็บ ตาย จงเห็นว่าไม่มีสาระแก่นสาร ไม่ยั่งยืน ไม่มีความหมาย
เมื่อสอนจิตอย่างนี้ จิตก็รู้เห็นตาม เกิดสังเวชสลดน้ำตาไหลเพราะเราหนอเป็นเหตุแห่งทุกข์ ที่เราเป็นเหตุก็เพราะตัณหาความอยากและยึดถือข้อหนึ่ง เพราะเราประมาทอีกข้อหนึ่ง
ได้พบเห็นนักปราชญ์เจ้าทั้งหลาย ที่อุบัติมาในโลกก็ไม่ได้ยินดี มัวแต่สะสมอารมณ์ของโลก จะยากจนหรือมั่งมีก็ตามที เรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้าควรให้เกิดบุญเกิดกุศล ! มรรคผล ธรรมวิเศษนั้นไม่ทำหรือทำก็แต่น้อย ทำบาปหรืออารมณ์ของโลกนั้นมากกว่า ดังนั้นจึงต้องท่องเที่ยวเกิด ๆ ดับ ๆ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่อย่างนี้ !
ต่อนั้นไปก็พิจารณาธรรมะนั้น ๆ ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เกิดนิมิตต่าง ๆ ก็จึงกำหนดไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เรา พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า เวียนเกิดเวียนตาย ภพน้อยภพใหญ่ ภายในภายนอก สัตว์ในโลก ๓ หนีไปไม่พ้น จะพ้นได้ก็แต่นักปราชญ์เจ้าทั้งหลายผู้ไม่ประมาท ไม่ลืมตน มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ท่านเห็นว่า เทียวเกิดเทียวตายเป็นทุกข์โทษภัยใหญ่ ท่านจึงทำความเพียรชำระสนิมคือ โลภ โกรธ หลง อวิชชา ตัณหา ออกจากใจจนได้ ไปพระนิพพาน โลก๓ ท่านไม่กลับมาอีก
อาตมาพิจารณาสอนใจอย่างนั้น พิจารณาโดยอนุโลมปฏิโลมจนรุ่งแจ้ง

(ที่มา หนังสือตายแล้วไปไหนเล่มที่26)

ผีกินผี

สมัยหนึ่ง (ปี ๒๔๙๖) ไปวิเวกอยู่ที่ถ้ำเป็ด ภูเหล็ก อ.สว่างแดนดิน (ปัจจุบันเป็น อ.ส่องดาว จ.สกลนคร) กับหลวงพ่อไค ๆ เป็นคนภูไท อายุมากแล้ว (๖๐ – ๗๐ ปี) จึงบอกว่า
“หลวงพ่อไค ที่นี่ผีมันร้ายนะ คนไม่กล้ามาทำไร่ ทำสวน เพราะผีมันกวน ฉะนั้น เวลาจะถ่ายปัสสาวะให้นั่งถ่ายใส่รางให้เป็นที่เป็นทางนะ อย่าไปถ่ายเรี่ยราดทั่วไป ไม่ดี เดี๋ยวผีมันจะดึงหำเอา” (หำ คือ อัณฑะ)
หลวงพ่อไคก็ว่า “ผมมันแก่แล้ว เวลาปวดปัสสาวะแล้วมันก็ไหลเลย”
วันหนึ่งได้ยินเสียงหลวงพ่อไคร้อง “โอ๊ย ! ...”
จึงถามไปว่า “เป็นอะไร ?”
หลวงพ่อไคก็ว่า “ผีมันดึงหำ”
“นั่นแหละ บอกแล้วไม่ฟังก็เป็นอย่างนั้น ลูกหลานเขาหยอกคนแก่หรอก นี่แหละ โทษฐานที่ถ่ายปัสสาวะไม่เป็นที่ ไม่เป็นทาง”
จากนั้น อยู่มาวันหนึ่ง นั่งภาวนาอยู่ในป่าจนถึง ๖ ทุ่ม ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องว่า
“พี่น้อง...มาช่วยฉันเถอะว้า ผีปอบมากินลูกฉัน ฉันคลอดลูกใหม่ ๆ ผีปอบมากินเลย”
อ้าว ! ... มันอะไรกัน มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนกลางวัน ไม่เห็นมีอะไร โอ๋...ดอนป่าไม้นี้ มีผีอยู่ที่นั่นกลุ่มหนึ่ง ร้องเรียกบักทิดบักจารย์ มาช่วยกันขับไล่ผีปอบ ผีเหล่านั้นก็ออกมาจากพุ่มไม้ กอไม้ ต้นไม้ต่ำ ๆ เป็นปราสาทที่อยู่ มาแล้วก็ขับไล่กันทุกอย่าง ก็ไม่ออก
เมื่อไม่ออกแล้วทำอย่างไร หมดคาถาแล้ว คาถาของเรานี้ แต่ก่อนก็คมกล้าดี แต่มาระยะนี้ มาอยู่กับผู้หญิง อาถรรพ์ของผู้หญิงนั้นกล้า คาถาดีเท่าไหร่ก็เสื่อมหมด ฉะนั้นจงไปขอน้ำมนต์จากพระที่ท่านมาเจริญธรรมที่ถ้ำนะ เพราะศีลของท่านดี ท่านไม่ได้อยู่กับผู้หญิง ไม่ได้กินเหล้าสุรานารีอะไร
ยายคนนั้น คนแก่ ๆ ดำ ๆ สูง ๆ ก็เลยเอาขันน้ำมาหา แล้วว่า
“หลวงพ่อ ขอจงเมตตาช่วยเหลือข้าพเจ้าเถอะว้า ผีปอบกินลูกของอิฉันนะ คลอดบุตรใหม่ ๆ ผีมากินแล้ว”
ก็เลยทำน้ำมนต์ให้ ใช้คาถาธรรมพระไตรสรณคมน์นั่นแหละ ให้เอาไปกิน พอกินแล้วก็อาเจียนออกมาเลย นั่นแหละ ผีมันออกแล้ว
จากนั้น พวกนี้ก็กลับไปอยู่ตามถ้ำแคบ ๆ เล็ก ๆ ตามกอไม้กอหญ้าต่ำ ๆ จึงถามว่า
“ทำไมไม่ไปอยู่ในถ้ำใหญ่ ๆ ?”
เขาตอบว่า “ไปอยู่ไม่ได้นะท่าน เข้าไปแล้วมันร้อนเหมือนไฟ เพราะสมัยที่มีภพชาติเป็นมนุษย์โน้น พ่อแม่พี่น้อง ปู่ย่าตายายพากันนับถือผี เมื่อถึงฤดูกาลก็บวงสรวง เซ่นไหว้ผีหมอ ผีฟ้า ผีต่าง ๆ ทุกอย่าง น้อมเอาผีมาเป็นที่พึ่งทั้งนั้น แม้ว่านักปราชญ์จะป่าวร้องเชิญชวนให้เข้าวัดฟังธรรม จำศีล เจริญภาวนา สร้างถนนหนทาง สร้างน้ำบ่อก่อศาลาก็ไม่ยินดี ถือว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีพอแล้ว ไม่อดไม่อยาก ไม่ยากไม่จน ใครยังไม่พอก็ทำไปเถอะ”
“นั่นแหละ ฆ่าวัว ฆ่าควาย กินเหล้ากินยา สุรานารี ไม่ถือผัวถือเมีย เสพกามกันไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่ว่าลูกเขาเมียใคร ไม่ถือกันทั้งนั้น ดังนั้น เมื่อตายแล้วพวกข้าพเจ้าจึงมาเกิดเป็นผีอยู่ที่นี่ ไปไหนมาไหนไม่ได้ ร้องไห้บ่นเพ้อละเมอใจ เป็นทุกข์ทรมาน หนอนเจาะของลับ น้ำเน่าไหล อาศัยอยู่ในถ้ำแคบ ๆ แสนทุกข์ยากลำบาก ครั้นเดือน ๔ เดือน ๕ ก็มีไฟไหม้ป่ามา ต้องขนข้าวของหนี ฉิบหายทุกปีแหละท่าน”
นั่นแหละ เคยเห็นแต่ผีปอบกินคน แต่นี่ ทำไมหนอ ผีจึงมากินผี จึงกำหนดถามพระธรรม ๆ ก็พูดขึ้นมาที่ใจว่า
“เจ้าอุ้มลุ่ม เจ้าผู้ตุ้มผ้าดำ แสนจะหนีไปลี้ภูเขา ถ้ำใหญ่ก็ดีถ่อน กรรมเวร เวรกรรม หากสินำซอกใช้ กินไส้บ่หร๋อเจ้าเอย”
(คนใจบาปหยาบช้า ถึงจะหลบหนีไปอยู่ที่ใด บาปกรรมก็จะตามไปสังหารให้เดือดร้อนอาทรใจเสมอ)
นั่นแหละ ไปเห็นมาอย่างนั้นแล้วก็สิ้นสงสัย คนที่มีนิสัยเคยถือผีถือสางคางแดงมาแต่ครั้งเมื่อเป็นมนุษย์ เมื่อตายไปก็ไปเกิดเป็นผีตกทุกข์ได้ยาก ถึงจะช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ มันก็ไม่สนใจหรอก ควรที่จะมาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ ก็ไม่มา นิสัยเคยถือผีสางอย่างนั้น ถึงจะพ้นทุกข์ได้ก็ไม่อัศจรรย์อะไรหรอก นี่แหละ โทษของการนับถือผีก็เป็นอย่างนั้น
นั่นแหละ ไปเห็นอย่างนั้นก็ได้ธรรมะ คือ คนที่นับถือผี เมื่อตายไปแล้ว ก็ไปเกิดเป็นผีอย่างนั้นแน่นอน จะไปมนุษย์หรือสวรรค์ไม่ได้ เพราะไม่มีศีลธรรมอันดีงาม มีแต่กรรมชั่วช้าลามก คือ โลภะ โทสะ โมหะฉาบทาจิตใจ ตายแล้วไปเกิดเป็นผีอย่างนั้น นั่นแหละ ก็ได้ความสังเวชสลดใจ ได้วิชาปัญญาความรู้

พระนิพพาน โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

พระนิพพาน โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
1) บรรดานักคิดนักแต่งทั้งหลาย ได้พากันโฆษณามาหลายร้อยปีแล้วว่า พระนิพพานเป็นสภาพสูญ แต่พอมาอ่านหนังสือของพระอรหันต์ท่านเขียน คือ หนังสือวิสุทธิมรรค ท่านกลับยืนยันว่าพระนิพพานไม่สูญ ดังท่านจะเห็นตามบาลีทั้ง 8 ที่ท่านยกมาเป็นองค์ภาวนานั้น คือ มัททนิมมัทโน พระนิพพานตัดความเมาในชีวิต วิปาสวินโย นิพพานบรรเทาความกระหายในกามคุณ 5 อาลยสมุคฆโต พระนิพพานถอนอาลัยในกามคุณ วัฏฏปัจเฉโท พระนิพพานตัดวนสามให้ขาด ตัณหักขโย พระนิพพานมีตัณหาสิ้นแล้ว หรือสิ้นตัณหาแล้วเข้าสู่พระนิพพาน วิราโค มีความเบื่อหน่ายในตัณหา นิโรโธ ดับตัณหาได้สนิทแล้ว โดยตัณหาไม่กำเริบอีก นิพพานัง มีความดับสนิทแล้วจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม อันเป็นเหตุให้เกิดอีกในวัฏฏสงสาร ความหมายตามบาลีที่ท่านว่าไว้นี้ ไม่ได้บอกว่าท่านที่ถึงนิพพานแล้วสูญ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นความเห็นผิด เมื่อบาลีท่านยันว่า นิพพานไม่สูญแล้ว ท่านบรรดานักเขียนนักแต่งทั้งหลาย ท่านเอามาจากไหนว่า นิพพานสูญ อันนี้น่าจะเกิดจากความเข้าใจผิดอะไรกันสักอย่าง เพราะมีพระบาลีบทหนึ่งว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง แปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง ท่านอาจจะไปคว้าเอา ปรมัง สุญญัง โดยเข้าใจว่า สูญโญเข้าให้ เรื่องถึงได้ไปกันใหญ่

2) นิพพาน นิพพาน เขาแปลว่า ดับ คือดับความชั่ว ได้แก่ โลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง เป็นอารมณ์จิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีความชั่วเจือปน เขตของพระนิพพานไม่มีความตาย ไม่มีการป่วย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น ถ้าท่านพุทธบริษัทสงสัย ก็พยายามฝึกมโนมยิทธิ หรือ ทิพย์จักขุญาณได้พอสมควร ท่านจะรู้ได้รู้จักสภาวะของ พระนิพพาน ดีกว่าอ่านหนังสือแล้วก็เดาเอา

3) พระนิพพาน มีแดนไหม หรือว่าพระนิพพานสูญ สูญหรือไม่สูญมีแดนหรือไม่มีแดน ถ้าเราคือสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ต้องคิด คิดว่าธรรมใดที่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร สอนเราในชาตินี้ ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า นี่เป็นเชื้อของความทุกข์ มันก็ทุกข์จริง ๆ อันนี้เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข มันก็สุขจริง ๆ อันนี้ของสกปรกโสมมมันไม่สะอาด มันก็สกปรกจริง ๆ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรา เราพิจารณาเห็นแล้วว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ฉะนั้นแดนที่มีความสุขจริงอย่างยิ่ง ไม่มีทุกข์เจือปน ก็คือ แดนพระนิพพาน แดนพระนิพพานก็เป็นแดนจริง ๆ มีความสุข จริง ๆ และก็ต้องมีจริง

4) สำหรับท่านที่รักการปฏิบัติจริง เรื่องมรรคผลนิพพานเป็นเรื่องใหญ่ นิพพานที่เข้าใจกันว่าสูญนั้นเป็นการเข้าใจผิดชัด ๆ ความจริงนิพพานไม่สูญ เป็นแดนพิเศษที่เหนือเทวดาและพรหม มีความสวยสดงดงามมากกว่าเทวดาและพรหม มีความสุขละเอียดกว่า สุขุมกว่า ไปไหน มาไหนได้สบาย ไม่มีสภาพสิ้นซากหรือไร้ความรู้สึก

5) ถ้าอยากจะเห็นพระนิพพาน ต้องเจริญวิปัสสนาญาณ ให้ได้บรรลุพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ อาศัยญาณที่ได้ไว้ในสมัยโลกียฌาน และอาศัยผลที่เป็นพระอริยะ ท่านเรียกญาณที่ได้ว่า วิมุตติญาณทัสสนะ แปลว่า หลุดพ้นจากกิเลสพร้อมด้วยฌานเป็นเครื่องรู้ เท่านี้พระนิพพานก็ปรากฏชัดแก่ญาณจักษุ พระโสดาบันนี้ได้แต่เห็นพระนิพพาน ยังอาศัยนิพพานเป็นที่พักผ่อนไม่ได้ ถ้าสำเร็จอรหัตตผลแล้ว ท่านก็ไปนอนค้างบนนิพพาน อันเป็นสถานที่อยู่สำหรับตนได้เลย บนนิพพานก็คล้ายกับพรหม มีวิมาน แต่วิจิตรมาก ร่างของท่านที่เข้าพระนิพพานเป็นทิพย์ ละเอียด ใสสะอาด ใสคล้ายแก้วประกายพรึก มีรัศมีสว่าง มากกว่าพรหม อย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุด อย่างไม่มีอะไรเปรียบ เพราะความรู้สึกอย่างอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์

6) ถ้าถามว่า ถ้าคนเขาอยากไปพระนิพพานเป็นตัณหาไหม ก็เห็นจะ 99 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบว่า คำว่าอยาก แปลว่า ตัณหา ในเมื่ออยากไปพระนิพพาน ก็แสดงว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน ก็เลยบอกว่านี่แกเทศน์แล้วแกก็เดินลงนรกเลยสบาย ไปเสียคนเดียวก่อน ดีกว่ามาชวนชาวบ้านเขาไปอีก ถ้าต้องการไปนิพพาน เขาเรียกว่า ธรรมะฉันทะ มีความพอใจในธรรม เป็นอาการซึ่งทรงความดี พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามจะได้ตอบถูก

7) การเข้าพระนิพพานไม่มีอะไรยาก เพียงแต่ชนะใจตัวเองเท่านั้นคือ
- ไม่ทำหรือคิดว่าจะทำความชั่วทุกอย่าง(ตามแบบศีล 5 )
- สร้างความดีที่ทำให้เกิดความสุขแก่ตนและคนอื่นทุกอย่าง
- ชำระใจให้เข้าใจในเหตุผล เคารพตามความเป็นจริง ไม่มีอารมณ์ฝืนกฎธรรมดา เห็นโลกเป็นทุกข์ตามความเป็นจริง รู้เหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์ คือ ความอยากไม่รู้จบ ไม่สนใจกับความเคลื่อนไปของสิ่งมีชีวิต ไม่ต้องการความเกิดรู้ตัวเสมอว่าทรัพย์สินที่หามาได้นั้น เราไม่มีโอกาสปกครองได้ตลอดกาล เมื่อถึงเวลาต้องพลัดพรากจากมันเป็นปกติ เมื่อมันจากเรา หรือเราจากมัน ไม่มีอารมณ์เป็นห่วงหรือหนักใจ เห็นความตายเป็นกีฬาสำหรับเด็ก เท่านี้จะทำให้ใจสบาย เรื่องสวรรค์หรือพรหมถือว่าต่ำเกินไป ไปนิพพานเลยดีกว่า นิพพานมีแต่สุข หาทุกข์ไม่ได้

8) ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง มีอารมณ์จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ จิตมันก็ไม่ถอย เมื่อจิตมันไม่ถอยทำอย่างไร ก็มีอย่างเดียว การก้าวไปสู่พระนิพพาน

9) แต่ว่าขอเตือนสักนิด ถ้าจะทำจิตของเราให้ทรงอารมณ์เป็นพระนิพพานจริง ๆ ขอบรรดาท่านภิกษุ สามเณร และท่านพุทธบริษัทชายหญิง จงพยายามทรงทรงอารมณ์ บารมี 10 ประการ ไว้ให้ครบถ้วน อันนี้ทิ้งไม่ได้ เกาะบารมี 10 ประการ ว่าสิ่งไหนบ้างที่ยังไม่มีสำหรับเราเรายังบกพร่อง อย่าให้บกพร่อง และใช้กำลังสมาธิควบคุมให้ทรงตัวให้มีกำลัง จรณะ 15 ที่เป็นกำแพงกั้น ที่จะไม่ให้เราตกอยู่ในภาวะของความชั่วแห่งจิต และใช้ อิทธิบาท 4 เป็นเครื่องสนับสนุน ให้เราเข้าถึงความสุข ทรงกำลัง 3 ประการให้ทรงตัว แล้วใคร่ครวญหาความจริงว่า ร่างกายมันเป็นโทษ มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา หาความดีไม่ได้ เกิดเป็นคน เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม ก็ไม่พ้นทุกข์ จิตยึดอารมณ์พระนิพพานเป็นอารมณ์

10) การเป็นพระอรหันต์ไม่เห็นยาก คือ ตัดความพอใจในโลกทั้งสาม มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ตัดราคะ ความเห็นว่ามนุษย์โลกสวย เทวโลกสวย พรหมโลกสวย โลกทั้งสามไม่มีความหมายสำหรับเรา เราไม่ต้องการสิ่งที่เราต้องการคือ พระนิพพาน มีความเยือกเย็นเป็นปกติ ไม่เห็นอะไรเป็นเราเป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทบถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีขนตกอยู่เป็นปกติ คือว่าไม่มีการสะดุ้งหวาดหวั่นอันใด

11) พระอรหันต์ย่อมไม่ปรากฏเห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นเราเป็นของเรา ไม่เห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นของดีและก้ไม่เห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นของเลว ทั้งนี้เพราะพระอรหันต์ยอมรับนับถือกฎแห่งความเป็นจริง ว่า ธรรมดาของโลกนี้เป็นอย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เป็นกฎธรรมดาไปหมด ไม่มีอะไรเป็นเครื่องสะเทือนใจ พระอรหันต์ เขาด่าก็ไม่สะเทือนใจ เขาชมก็ไม่สะเทือนใจ อะไร ๆ เกิดขึ้นมาทั้งทีก็เป็นเรื่องธรรมดา

12) ถ้าจะถึงอรหันต์ ทีนี้อารมณ์ใจมันสบายทุกอย่าง คือว่าไม่หลงในฌาน ฌานทุกอย่าง ทั้ง รูปฌาน และ อรูปฌาน เราพอใจ แต่คิดแต่เพียงว่านี่เป็นบันไดก้าวขึ้นสู่อริยะเบื้องสูงเท่านั้น ไม่ใช่มานั่งหลงว่ากันทั้งวันทั้งคืน นั่งกรรมฐานตลอดวันตลอดคืน นั่นมันยังเป็นเด็กเล็ก ๆ อยู่ ทีนี้หลงในฌานไม่มี ตัวมานะ ถือว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาไม่มี และอาการณ์ฟุ้งซ่าน สอดส่ายไปสู่อารมณ์อกุศลไม่มี และตัวสุดท้ายก็เห็นว่าโลกทั้ง 3 โลก คือ มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ไม่มีความหมายสำหรับเรา เห็นสภาวะของโลกทุกอย่างนี้ทั้ง 3 โลก มันเป็นแดนของความทุกข์ สิ่งที่มีความสุขที่สุดคือ พระนิพพาน อันนี้ ถ้าเป็นสุขวิปัสสโก ท่านจะมีความสบายมาก สบายในอารมณ์ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า พระนิพพานมีจริง และพระนิพพานเป็นดินแดนของความสุข แม้ท่านจะไม่เห็น หากว่า พระวิชชาสาม ก็ดี อภิญญา 6 ก็ดี ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี นี่เขาไปที่พระนิพพานได้เลย จะสามารถเห็นพระนิพพานได้เท่า ๆ กับเห็นของที่มองอยู่ตรงหน้า แล้วเขาก็จะรู้สภาวะว่า ถ้าเขาทิ้งอัตภาพนี้แล้ว เขาจะไปอยู่ตรงไหน เพราะพระนิพพานไม่ได้มีสภาพสูญ เขาก็เข้าสู่จุดของเขาเลยที่พระนิพพาน เข้าที่อยู่ได้ ไปไหว้พระพุทธเจ้าได้

พระนิพพานเป็นแดนทิพย์วิเศษ

พระนิพพานเป็นแดนทิพย์วิเศษ พ้นจากอำนาจของการเวียนว่ายตายเกิดจาก นรกโลก มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก คำว่า นิพพาน แปลว่า ดับ หรือ หมด ดับหรือหมดจากอะไร
                1. ดับกิเลสสังโยชน์ 10 อย่าง มีกิเลส โลภ โกรธ หลง เป็นต้น ดับความโลภ ด้วยการให้ทานเพื่อสงเคราะห์ คนสัตว์ทั้งโลก ดับความโกรธ ด้วยการให้อภัยมีความสงสารเมตตาต่อคนสัตว์ทั้งโลก ดับความหลง ด้วยการเพียรคิดพิจารณาตามความเป็นจริงว่า โลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลกไม่มีความสุขจริง สุขชั่วคราว โลกมนุษย์เต็มไปด้วย ความทุกข์ยากลำบาก วุ่นวายเสื่อมสลายตลอดเวลา
                2. ดับขันธ์ 5 คือ กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณคือระบบประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย อารมณ์ใจ ดับหมด คือ ไม่มีถึงแม้มีตอนนี้ แต่ก็สลายตัวไปในที่สุด คือ แยกกาย รูป นาม ออกจากจิตที่เป็นของจริง กายเป็นเพียงเปลือก เป็นของปลอม เป็นภาพมายา จิตเพียงแต่มาอาศัยกายชั่วคราว เพราะความไม่รู้จริงของชีวิต จิตจึงต้องมาเกิดในร่างกายที่เป็นซากศพเดินได้ หายใจได้ พูดได้อย่างนี้ ขอย้ำว่า วิญญาณในขันธ์ 5 คือ ความรู้สึกของระบบประสาทในร่างกายทั้งหมด ไม่ใช่ จิต อารมณ์ต่าง ๆ ดี ชั่ว ก็ไม่ใช่ของจิต
                3. จิตเดิมแท้เป็นจิตสะอาด บริสุทธิ์ มีลักษณะเป็นจิตพุทธะประภัสสรมาก่อน เป็นจิตนิ่งเฉย ไม่วอกแวก ไม่สอดส่ายอยากรู้อยากเห็นในเรื่องของโลก จิตเดิมแท้ มีพลังงาน มีอานุภาพเหนือธรรมชาติ มีความฉลาดรอบรู้ในสิ่งที่ต้องการรู้ มีอภิญญา สมาบัติ และมีความสุขเลิศล้ำ จิตอันนี้จะมีรูปลักษณ์หรือจะทำให้ไม่มีรูปลักษณ์ก็ได้ ตามจิตปรารถนา ไม่ได้ดับสูญสลายเหมือนขันธ์ 5
                จิตที่เข้าถึงพระนิพพานจึงเป็นจิตที่อยู่ในขันธ์ 5 ทั้ง ๆที่ยังไม่ตาย เพียงแต่กิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา อกุศลกรรม ไม่สามารถ บังคับให้จิตต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป จิตแบบนี้คือ จิต สอุปาทิเสสนิพพาน ถ้าหากร่างกายตาย จิตที่สะอาดปราศจากกิเลส ตัณหา อุปาทานก็ไปเสวยสุขยอดเยี่ยมแดนทิพย์วิเศษนิพพาน ไม่อยู่ในอำนาจของวัฏฏสงสารไม่อยู่ในอำนาจของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พระนิพพานเป็นโลกุตรธรรม อยู่เหนือคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
                นิพพานนัง สูญญัง แปลว่า พระนิพพานเป็นธรรมที่ว่างจากนรกโลก เทวโลก ว่างจากมนุษย์โลก คือ ว่างจากการเวียนว่ายตายเกิด ว่างจากความแปรปรวน ว่างจากความทุกข์ทั้งสิ้น ว่างจากอนัตตา ไม่มีวันสูญสลายตายไปเหมือนโลกทั้ง 3 พระนิพพานจะมีแต่จิตของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ จิตของพระนิพพานเป็นจิตที่ว่างเปล่าจาก อวิชชา ความรู้ไม่จริง ว่างเปล่าจากความอยาก ตัณหา ว่างจากอุปาทาน ความยึดติดในกายคน กายเทพ กายพรหม ซึ่งเป็นของสมมุติชั่วคราว กายนิพพานละเอียดเบาใส สว่างเบิกบานมีพลังมาก

กายทิพย์นิพพาน เรียกว่า ธรรมกาย เป็นอมตะธาตุ ที่ไม่มีดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่กายเทพ กายพรหม เป็น อสังขธาตุ เป็นพุทธิธาตุ เป็นธาตุที่มีอยู่แล้ว เหนือกฎธรรมชาตทั้งปวง เป็น กายทิพย์ จิตทิพย์ จิตนิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นจิตของพระอรหันต์ พระขีณาสพ เรียก สภาวะจิตที่ไม่มีขันธ์ 5 ไม่มีกายหยาบ กายเทพ กายพรหม ว่า อนุปาทิเสสนิพพาน
ดังนั้นพระนิพพานองค์พระศาสดาจึงแบ่งแยกไว้มี 2 ชนิด คือ
                1) สอุปาทิเสสนิพพาน คือ จิตดับจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา อกุศลกรรม แต่ยังมีกายหยาบ คือ ขันธ์ 5 ของคน ขันธ์ทิพย์ของเทวดาพรหมอยู่ คือ ยังไม่ตายแต่จิต เป็นจิตของพระอรหันต์ ขีณาสพผู้ห่างจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ยังรู้อาการเจ็บปวดของกายครบถ้วน
                2) อนุปาทิเสสนิพพาน กายหยาบขันธ์ 5 ตาย ดับสูญสลายจากกายสัตว์นรก กายมนุษย์ กายเทพ กายพรหม แต่จิตบริสุทธิ์ ไม่ดับสลาย ยังอยู่มีความสุขตลอดกาล ในแดนอมตะทิพย์นิพพาน เป็นนิพพานกาย-ธรรมกาย
                การปฏิบัติธรรม ตามเบื้องพระยุคลบาทขององค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ของ พุทธบริษัทในโลกนี้ต้องแบ่งแยกกันออกไป นั่นหมายความว่าสภาพจิตของแต่ละท่านนั้นแตกต่างกัน การสร้างบุญบารมีก็ไม่เหมือนกัน
                บางท่านมีบารมีเก่าในชาติก่อนมาแล้ว เมื่อมาเกิดในชาติปัจจุบันก็ได้พยายามสร้างบุญบารมีเพิ่มขึ้นอีก บุคคลประเภทนี้นั้น ไม่ว่าจะทำอะไรเกี่ยวข้องกับทางธรรมะขององค์สมเด็จพระพิชิตมารที่ได้ทรงสอนเอาไว้ เช่น ได้ฟังธรรมได้อ่านบทพระธรรมวินัยก็เกิดเลื่อมใส เกิดปิติ ศรัทธา แล้วก็นำคำสอนขององค์พระบรมโลกเชษฐ์มาพิจารณา ด้วนสติปัญญา เห็นสมควรดียิ่งแล้วนำเอาไปประพฤติ ปฏิบัติ และได้ประโยชน์ อย่างมหาศาลเป็นต้นว่า หยุดการเวียนว่ายตายเกิด
                องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงค้นหาสัจธรรมด้วยความพากเพียร สู้อดทนต่อความยากลำบากด้วยพระปัญญาบารมี และเต็มไปด้วยพระเมตตาปรารถนาที่จะช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด พระองค์ท่านได้เอาชนะอุปสรรคทุกอย่าง ต่อสู้อย่างเต็มความสามารถ มีความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวที่จะค้นหาวิธีที่จะทำให้ไม่ต้องเวียนเกิดเวียนตายอีกต่อไป
                ในที่สุดพระองค์ก็ได้พบแดนทิพย์วิเศษที่ไม่มีใครทราบมาก่อน นั่นคือ สถานที่อันประเสริฐสูงสุดมีชื่อว่า พระนิพพาน เป็นแดนสงบสุขอย่างยอดเยี่ยม ไม่มีดินน้ำลมไฟ ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีขันธ์ 5 ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีปัญหาต้องแก้ เสรีจากกฎของกรรม ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป มีจิตทิพย์ กายแก้ว มีอิสระ เสรีจากกฎของกรรม กฎของธรรมชาติ ไม่มีเพศหญิงเพศชาย ปรารถนาสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ปรากฏทันที จะไปแดนไหน ๆ ก็ไม่มีใครห้าม
                นิพพานัง ปรมัง สุขขัง
พระนิพพานเป็นแดนทิพย์มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น มีความสุขอย่างยิ่ง
                นิพพานนัง ปรมัง สุญญัง
นิพพานสูญจากความทุกข์ทั้งสิ้น สูญจากรูปนาม ขันธ์ 5 สูญจากอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สูญจากการเวียนว่ายตายเกิด สูญจากธาตุดินน้ำลมไฟ สูญจากกรรมชั่วทุกอย่าง สูญในที่นี้หมายความว่า ไม่มีทุกอย่างที่โลกนี้มี
                การที่พระนิพพานมีลักษณะตรงข้ามกับโลกเช่นนี้ จึงเป็นการยากที่คนจะเข้าใจพระนิพพานได้ ผู้ที่จะเข้าใจพระนิพพานได้ชัดเจนจริง คือ ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนา พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง (เช่น มโนมยิทธิ เป็นต้น)
                สัพเพ ธัมมา อนัตตา
แปลว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงควบคุมไว้ไม่ได้ ต้องแตกสลายสูญหายไปทั้งสิ้น บางท่านจึงแปลไปว่า พระนิพพาน คือ ธรรมะ เป็นอนัตตา สูญสลาย ตามโลกมนุษย์ด้วย ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด
พระนิพพานไม่ใช่อนัตตา เป็นอมตะ ไม่อยู่ในกฎของไตรลักษณ์
โปรดอย่าลืมว่าพระพุทธองค์ทรงสอนธรรม 2 แบบ
                1. โลกียธรรม คือ ธรรมที่ชาวโลกปฏิบัติให้มีชีวิตอยู่ไม่ทุกข์เกินไป แต่ก็ยังวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่
                2. โลกุตตรธรรม คือ ธรรมที่เหนือนรก โลก สวรรค์ พรหม เป็นธรรมที่ ทำให้หลุดพ้นทุกข์ นรก โลก สวรรค์ พรหม ไปสู่แดนที่เป็นสุขตลอดกาล คือ พระนิพพาน
                ท่านผู้ได้ปฏิบัติศึกษาทางธรรม เป็นที่เข้าใจ ตามองค์พระพุทธศาสดาทรงสอนไว้เป็นหลักฐานในพระคัมภีร์เรียกว่า พระไตรปิฏก ซึ่งมีพระธรรมคำสอนอยู่ครบถ้วนและท่านที่มีศรัทธาบารมี มีความเชื่อมั่นในพระธรรมคำสอน ได้เอาพระธรรมไปศึกษาพิจารณาปฏิบัติก็จะได้เกิดเป็นประโยชน์คือ มีความสุขกายสุขใจ
                พระธรรมนั้นไม่มีคำว่า ล้าสมัย ทันสมัยตลอดกาล เพราะพระธรรมเป็นของจริง พระธรรมคือ ธรรมชาติในกายเรารอบ ๆ ตัวเรา ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริง พระธรรมคือธรรมชาติในกายเรารอบ ๆ ตัวเรา ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะอยู่ใต้บังคับบัญชาของกฎธรรมชาติ คือ ต้องเปลี่ยนแปลง วิ่งเข้าหาความสึกหรอทรุดโทรม แล้วสูญสลายแตกหักกระจายในที่สุด ถ้าเป็นคนสัตว์ก็เรียกว่า เน่าเหม็นตาย จิตวิญญาณที่มาอาศัยอยู่ในกายชั่วคราวไม่ใช่เจ้าของร่างกายเลย ร่างกายไม่ได้อยู่ในอำนาจของจิตวิญญาณ
                การปฏิบัติธรรมก็คือ ใช้จิตวิญญาณของเราที่มาอาศัยในกายหรือขันธ์ 5 ชั่วคราวนี้ ด้วยการทำง่าย ๆดังนี้
                1. ตั้งจิตไว้ว่าทำความชั่วด้วยการผิดศีล 5 เพราะกลัวบาปกรรม มีนรกเป็นที่ไปเมื่อทิ้งร่างกายแล้ว
                2. เอาคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ เทิดทูนบูชาไว้ในจิต ในใจตลอดเวลา เคารพเชื่อฟังท่านโดยการมีเมตตา มีความกตัญญูรู้คุณบิดา มารดา ไหว้พระสวดมนต์ ทำสมาธิ ดูลมหายใจเข้าออก พิจารณาว่าร่างกายคนสะอาดหรือสกปรก เป็นสุขหรือทุกข์ ต้องแบกภาระหาเงินหาอาหารมาเลี้ยงร่างกายเหนื่อยบากก็ต้องทน

                3. ไม่ลืมว่าทุกคนเดินเข้าหาความตายทุกลมหายใจเข้าออก ไม่กลัวตายเพราะรู้ว่า ร่างกายเป็นเพียงธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันชั่วคราว กายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ ความหิว ร้อน หนาว เหนื่อย เหม็น มีภาระต้องเอาใจใส่ดูแลทำความสะอาด ตลอดเวลา และร่างกายก็เสื่อมโทรม เจ็บป่วย ตลอดเวลา เป็นการตัดความหลงรักในกายเขากายเรา เพราะรู้สภาพความเป็นจริงของร่างกายว่า นอกจากเหม็น สกปรก น่าเกลียด แล้วยังน่ากลัวอีกเพราะเจ็บปวดทุกข์ทรมานก่อนตาย
                4. ตั้งใจอธิษฐานไว้ตลอดเวลาว่า เมื่อขันธ์ 5 ร่างกายนี้พังสลาย ตายเมื่อไร จิตวิญญาณเรามุ่งตรงไปพระนิพพานสถานเดียว เป็นการตัดอวิชชาความไม่รู้ไปโดยง่าย เพราะผู้ที่มีพระนิพพานอยู่ในใจเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้มีปัญญาดี
                การทำสมาธิคือ ความตั้งมั่นคงอย่างใดอย่างหนึ่ง การคิดถึงความตาย การมีทาน ศีล นึกถึงพระนิพพาน ก็เป็นสมาธิอย่างหนึ่ง
                ถ้าจิตไม่ตั้งมั่น คิดนอกเรื่องจาก 4 ข้อนี้เป็นจิตคิดไร้สาระ ก็ต้องฝึกให้จิตคิด ในสิ่งที่เป็นสาธารณะประโยชน์ คือ พิจารณาเฝ้าดูลมหายใจเข้าออก นึกว่า พุธ หายใจออก กำหนดจิตไว้ว่า โธ หรือ จะนึก สัมมาอรหัง นะโมพุทธายะ นึกพระนามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แบบไหนก็ได้ ดีทั้งนั้น เป็นพุทธานุสติกรรมฐาน ทำให้เข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย ๆ เพราะจิตนึกถึงองค์พระศาสดาเป็นจิตสะอาด ไม่มีกิเลส เครื่องกังวลเศร้าหมอง
                ขอท่านพุทธบริษัททั้งหลายรีบเร่งปฏิบัติความดีเถิดท่าน เวลาของทุกท่านเหลือน้อยลงที่จะทำคุณงามความดี การทำความดีก็เป็นการยากเพราะกิเลสมารและมารรอบ ๆ ตัวเรามีมาก (มารคือ ผู้ดึงจิตเราให้ตกต่ำเศร้าหมอง)
                การปฏิบัติตาม 4 ข้อนั้นจะเอาชนะมารได้ ชนะกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา ได้ เป็นพระอริยะบุคคล ท่านที่ตั้งใจทำจริง ไม่ย่อท้อจะได้พบสิ่งที่ท่านไม่เคยพบ คือ ความมหัศจรรย์ทางจิตของท่านเอง ท่านจะได้พบพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ แล้วท่านก็จะได้พบพระนิพพาน แดนที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังรอพุทธบริษัททุกท่านอยู่อย่างเมตตาเป็นห่วงและเอาใจช่วยทุก ๆ ท่านตลอดเวลา

(จากหนังสือธรรมประทานพร)

 
     
 

 

 

 
 
Copyright © 2007 Geocity.com/devil _140323 Inc. All rights reserved.
Privacy Policy -Terms of Service - Help
Hosted by www.Geocities.ws

1