คนรุ่นเก่าเขาเล่าให้ฟัง(ต่อ)
แล้ววันนั้นก็มาถึงจนได้คือวันที่ผมกับ พ.ท.ธวัชฯ ต้องบังคับ
บ.ลงในไร่แตงโม
จำได้ว่าเป็นวันหยุดราชการและเป็นเดือนที่อยู่ระหว่างปลายฝนกับต้นหนาว
ผู้จัดการเจ้าของเครื่อง อุลตร้าไลท์ CHALLENGER
ได้เร่งเร้าให้ผมบินไปส่งที่สนามบิน อ.ปากช่อง
ผมสอบถามเขาว่ามันบินได้นานเท่าไรแน่ เขาก็ยืนยันเหมือนเดิมคือ 4
ชั่วโมง เพื่อความไม่ประมาทก่อนบินผมเติมน้ำมันเชื้อเพลิงจนเต็มปิ้ม
คาดว่าเต็มถังคงจุประมาณ 30-35 ลิตรเท่านั้น ก่อนนำ บ.วิ่งขึ้นหอฯ
บอกความเร็ว 8-15 ไมล์ กระโชกมันก็อีหรอบเดิมคือ
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ
แล้ว อุตส่าห์เตรียมตัวตั้งแต่เช้าจะยกเลิกมันกระไรอยู่
แถมยังคิดเข้าข้างตัวเองอีกว่า
บินเครื่องบินของทางราชการในเมืองไทยมา
มีสนามบินไหนบ้างที่ไม่เคยเห็นกับลมแรงขนาดนี้ คงไม่เป็นไรมั้ง
แล้วเรา 2 คนก็นำ บ.วิ่งขึ้นจากสนามบินสระพรานนาค
มุ่งตรงไปยังสนามบินภูหมอก อ.ปากช่อง ทั้ง ๆ ที่ลมแรงขณะที่ผมบังคับ
บ.ไต่เพื่อให้ได้ระยะสูงอยู่นั้น เมื่อผม CROSS CHECK
ไปที่เครื่องวัดปรากฏว่าเครื่อง วัดรอบ ย. (RPM)
ไม่ยอมชี้ไปทางไหนสักแห่ง ในใจคิดว่า มันอะไรกันนักหนาว่ะ ตัดสินใจ
บินต่อไปโดยหันหลังมาบอกกับ พ.ท.ธวัชฯ ให้รู้
แกก็พยักหน้ารับรู้ไม่ได้ว่าอะไร
ผมก็ใช้วิธีการโดยเอาความเร็วของแต่ละท่าบินเป็นตัวหลัก และใช้กำลัง
ย. เป็นตัวปรับแต่งส่วนท่าบินไต่ผมจะลดกำลัง
ย.ลงเล็กน้อยโดยใช้วิธีการฟังเสียง
สำหรับอัตราไต่จะได้เท่าไรไม่ใช่เรื่องสำคัญ ผมนำ
บ.บินเดินทางที่ระยะสูง 2000 ฟุต ความแรงของลมไม่มีทีท่าจะเบาบาง
จากสนามบินสระพรานนาคอ้อมเขาวงพระจันทร์ผ่าน อ.พัฒนานิคม เฉียด ๆ
อ.วังม่วง มองเห็นอยู่ทางซ้ายมือบินข้ามเทือกเขาซึ่งเป็นที่ราบสูง
ไปยังสนามบินภูหมอก ภูมิประเทศแถบนี้จำได้หมดโดยไม่ต้องอาศัยแผนที่
ขณะที่กำลังบินผ่านเทือกเขาลมยิ่งแรงและกระโชกมากขึ้น
คิดในใจว่าจะลงไปได้ไหมเนี่ย ถ้าลมมันเกิดแรงอย่างนี้
บินไปครู่เดียวเท่านั้นเองก็มองเห็นสนามบินภูหมอก บริเวณรอบ ๆ
มีภูเขาสูงบ้างต่ำบ้างอยู่ทั่วไป
ความสูงของสนามบินจากระดับน้ำทะเลในแผนที่สูงประมาณ 1300 ฟุต
สระพรานนาคสูง 90 ฟุต เมื่อเครื่องวัดความสูงผมขึ้น 2000 ฟุต
ผมจะบินอยู่เหนือภูหมอกเพียงประมาณ 600 ฟุต เท่านั้น
ซึ่งมากพอสำหรับ บ.แบบอุลตร้าไลท์ ภูหมอกมี RUN WAY ที่ใช้คือ 01-19
แต่ลมที่พัดขณะนั้นเป็นลมทิศประมาณ 250-270 องศา
ความเร็วคงไม่ต่ำกว่า 15
ไมล์กระโชกสังเกตได้จากควันไฟมันจะรวมและกระจายขนานไปกับพื้นดิน
ยอดไม้บนภูเขาและที่ราบจะโอนลู่และโยกไปมา อาการของ บ.ขณะที่อยู่ใน
FINAL LEG ขนาดที่เอียงปีกซ้ายรับลมอย่างสุด ๆ เพื่อจะร่อนลงทางวิ่ง
01 ยังเอาไม่อยู่ลมกระโชกแต่ละครั้งมันยก
บ.หลุดออกไปทางขวาจากแนวร่อน ผมพยายามจะลงอยู่ 2 ครั้ง เห็นท่าไม่ไหว
ขืนดันทุรังลงไปคงซี้แหง พอดีกับ พ.ท.ธวัชฯ
ถ้าคงเห็นจะไม่ปลอดภัยแกตะโกนสั่งผมว่า
ครูใหญ่กลับเถอะเดี๋ยวลมกระแทกปีกเปิกหลุด
ครูใหญ่กลับเถอะเดี๋ยวลมกระแทกปีกเปิกหลุด
ผมรอคำพูดประโยคนี้จาก พ.ท.ธวัชฯ อยู่นานแล้ว
ก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าแกทนนั่งดูผมบินอยู่ได้อย่างไร
ผมพยักหน้าตอบพร้อมกับบังคับ
บ.บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือบินไต่ไปที่ระยะสูง 2000 ฟุต
เท่ากับตอนมา เพื่อบินกลับสนามบินสระพรานนาค จ.ลพบุรี ต่อไป
ระหว่างทางที่บินกลับ ผมได้เปลี่ยนให้ พ.ท.ธวัชฯ
บินบ้างเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า ขณะที่บินออกมาจากสนามบินภูหมอก
อ.ปากช่อง เหนือบริเวณเทือกเขาที่เป็นพื้นที่ราบสูง
ดูเหมือนลมยิ่งแรงมากขึ้น บ.มีลักษณะเอียงซ้ายเอียงขวา วูบวาบ
กระดอนขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ตลอดเวลาจนรู้สึกมีอาการเพลีย
ผมถกแขนเสื้อขึ้นดูนาฬิกาข้อมือ ขณะนั้นเวลาประมาณ 10 โมงครึ่ง
แสดงว่า บ.ผมบินมาได้ 1 ชั่วโมงครึ่ง ในใจคิดว่าคงไม่มีอะไรน่า
อีกไม่นานก็จะถึงสนามบินสระพรานนาคแล้ว เบื้องล่างผมมองเห็น
อ.พัฒนานิคม อยู่ข้างหน้าทางซ้าย
เทือกเขาพญาเดินธงอยู่ข้างหน้าทางขวา
และเขาวงพระจันทร์ยอดแหลมสูงสุดตัดขอบฟ้าอยู่ตรง 12 นาฬิกา
บังสนามบินสระพรานนาคทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ระยะทางซึ่งไม่ได้ไกลอะไรนักหนา
แต่ บ.ของผมบินแทบจะไม่เคลื่อนที่เอาเสียเลย
นอกจากไม่ค่อยเคลื่อนที่แล้วยังมีอาการกระแทกกระทั้นตลอดเวลา
นับว่าเป็นเที่ยวบินที่มหาโหด ที่บินแล้วไม่มีความสุข บินเหนื่อยสุด
ๆ เที่ยวบินหนึ่งในชีวิตที่เคยพบมาพักใหญ่ ๆ
ผมยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาอีกครั้ง คราวนี้มันบอกเวลาประมาณ 11 โมง
ขณะนี้ผมบังคับ บ.มาอยู่ทางทิศเหนือเฉียด ๆ ยอดเขาวงพระจันทร์
มองเห็นสนามบินสระพรานนาคชัดเจน ใจเริ่มชื้นขึ้นมาเยอะ
แต่ผมยังคงรักษาระยะสูงของ บ.ไว้ 2000 ฟุต เท่าเดิม พ.ท.ธวัชฯ
พยายามติดต่อหอสระพรานนาคแม้จะพยายามสักเท่าไรก็ติดต่อไม่ได้
ผมบังคับ
บ.อ้อมเขาวงพระจันทร์แล้วบินตรงไปสนามบินสระพรานนาคซึ่งคงสวนกับทิศทางลมอย่างเต็มที่
ขณะที่ผมนั่งบินคิดอะไรเพลิน ๆ
สิ่งที่นักบินทุกผู้ทุกนามไม่ปรารถนาเจอะเจอ
มันเริ่มมีอาการแสดงออกกับ บ.อุลตร้าไลท์ CHALLENGER
ของผมเข้าแล้วนั่นคือ ย.ที่เคยเดินอยู่เรียบ ๆ กลับมีเสียง สะดุด
ติ๊ก ๆ ๆ บ.สะเทือนเล็กน้อย แว๊บ
ตรงที่หัวใจของผม
หูตากลับสว่างไสวขึ้นทันที ผมหันกลับไปพูดกับ พ.ท.ธวัชฯ ว่า
สงสัยน้ำมันมีน้ำมั๊ง
กับบอกให้ลองดูจำนวนเชื้อเพลิงในถังซึ่งตั้งอยู่หลังที่นั่งนักบินหลัง
ครู่เดียวเท่านั้น พ.ท.ธวัชฯ
ใช้มือฟาดที่ไหล่ขวาของผมจนสะเทือนพร้อมกับตะโกนว่า
น้ำมันหมดแล้วรีบกลับไปลง ครั้งแรกผมนึกฉุน พ.ท.ธวัชฯ
เหมือนกันว่าทำไมถึงหยอกกันแรงจังว่ะ
แต่พอรู้ว่าน้ำมันเชื้อเพลิงในถังหมด
ใจผมนึกไปถึงคำบอกเล่าของผู้จัดการ ว่ามันสามารถบินได้นานถึง 4
ชั่วโมง
ขณะนี้เราโดนคนที่ไม่รู้จริงหลอกเสียแล้วตามสัญชาติของนักบินครูการบิน
ท่านเคยสั่งนักสั่งหนาว่า ขณะบินอย่าใจลอย
จงคอยเลือกพื้นที่เผื่อต้องลงฉุกเฉินไว้บ้าง
เช่นเดียวกันผมไม่เคยลืมคำสั่งสอนของท่าน
พื้นที่ดังกล่าวจะอยู่ในสายตาของผมตลอดเส้นทางที่ทำการบินโดยเลือกพื้นที่บริเวณที่มองลงมาทางดิ่ง
เป็นมุมประมาณ 45 องศา ทั้งด้านหน้าและด้านข้างจากที่
ย.มีอาการสะดุดครั้งแรก ขณะนี้
ย.เดินเรียบเป็นปกติไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาจากที่
ย.มีอาการไปจนกระทั่งถึง ย.ดับนานแค่ไหน ผมยังคงบังคับ
บ.บินอยู่ที่ระยะสูง 2000 ฟุต เหมือนเดิม และจากนั้นไปอีกไม่ถึง 3
นาที ย.มีอาการสะดุดหรือเดินไม่เรียบอีกเป็นครั้งที่ 2
คราวนี้มีอาการรุนแรงกว่าครั้งแรกมาก เพราะ บ.
มีอาการกระตุกหรือกระชากนั่นเอง ใจผมคิดว่าคราวนี้มันคงเล่นงานเราแน่
แต่แล้ว ย.มันกลับเร่งขึ้นและเดินเรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ขณะนี้ผมเลือกพื้นที่สำหรับบังคับ บ.ลงฉุกเฉินได้แล้ว มองจากระยะสูง
2000 ฟุต
ลงมามีลักษณะเป็นทุ่งสีเขียวมีต้นไม้ใหญ่แต่ไม่สูงนักอยู่ล้อมรอบ
เป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดภายในกรวย 45 องศา
ในบริเวณนั้นติดอยู่กับเส้นทางลูกรัง ข้าง ๆ
ถนนมีบ้านเรือนปลูกอยู่ประมาณ 20 หลังคาเรือน อีกฟากถนนเป็นวัดเล็ก ๆ
ไม่มีโบสถ์แต่มีเมรุสำหรับเผาศพด้วย ทราบภายหลังคือวัดพระพุทธบาท
ระยะทางจากสายตาคาดว่าประมาณ 6-7 ไมล์
เท่านั้นก็จะถึงสนามบินสระพรานนาค
|